10 แบรนด์มือถิอ น่าใช้ ไม่ตกเทรนด์ 2023
![10 แบรนด์มือถิอ น่าใช้ ไม่ตกเทรนด์ [wpsm_custom_meta type=date field=year] 1 อันดับมือถือที่ดีที่สุด](https://topbestbrand.com/wp-content/uploads/2019/01/อันดับมือถือที่ดีที่สุด.jpg)
10 แบรนด์มือถิอ น่าใช้ ไม่ตกเทรนด์ 2023
รีวิวโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสามารถช่วยแนะนำสมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพดี สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่และโทรศัพท์มือถือเปิดตัวใหม่มีมากมาย ซึ่งอัพเดทไปในแต่ละปี แต่ละการอัพเดทก็จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความสามารถใหม่ๆ ของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การใช้ชีวิตของผู้ใช้อย่างเราสนุกและมีสีสันขึ้น ไปจนถึงช่วยในการทำงานได้ลื่นไหลขึ้นอีกด้วย โดยนอกจากการรับสายและการโทรออก ก็มีแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่ถูกพัฒนาควบคู่มาให้ใช้กับโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน
ถ้าคุณกำลังมองหาโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด เหมาะกับการใช้งานของคุณ ตอบโจทย์ความต้องการของด้วยสเปคที่สูง จะดูหนังก็สนุก เล่นเกมส์ก์ลื่น หรือทำงานสะดวก เรามีรีวิวมือถือ รีวิว 10 สมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด และมาแรง ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้งานทุกรูปแบบมาฝาก เพื่อให้คุณได้ลองศึกษาและเลือกโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด โดยเปรียบเทียบจากสเปคสินค้าในแต่ละด้าน พร้อมความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง
iPhone 11 Pro
ตัวใหม่มาแรงขณะนี้และเป็นที่นิยมกันอย่างมาก จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก IPONE 11 มาด้วยความล้ำสมัยอย่างไม่มีใครเกินค่ะ ข้อมูลตัวเครื่อง เป็นจอแสดงผล IPS-LCD 24-bit 16 ล้านสี ทำให้ง่ายต่อการพกพาเป็นอย่างมาก เพียงแค่มือถือเครื่องเดียวก็ตอบโจทย์การถ่ายภาพสวยและคมชัดไม่ต่างไปจากกล้องตัวใหญ่ๆ เลยค่ะ อีกทั้งสามารถรองรับโหมดกลางคืน (Night Mode)
หน้าจอมุมมองกว้าง (Wide Display) กว้างได้มากถึง 6.1 นิ้ว (แนวทะแยง) ความละเอียดของเขาจะอยู่ที่ 828 x 1792 พิกเซล (326 ppi) นับว่าละเอียดมากๆ เลยค่ะ
และเป็นข่าวดีสำหรับใครที่ไม่ค่อยชอบไปดูจอกระจก กันแตก ใส่ฟังก์ชั่นเสริมเยอะๆ สำหรับรุ่นนี้เขาออกแบบมาเป็นประเภทจอ หน้าจอกระจกแข็งที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนบนหน้าจอได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย พร้อมทั้งระบบเซ็นเซอร์ก็รองรับการทำงานได้อย่างอัจฉริยะมากเลยค่ะ ความล้ำสมัยของเขายังรองรับระบบจดจำใบหน้า (Face Detection) และการตรวจจับความเคลื่อนไหวของตัวเครื่อง (Accelerometer) ระบบเปิด/ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา (Proximity) ระบบเซนเซอร์หมุนภาพ (Gyroscope) ระบบวัดความกดอากาศ (Barometer)
ส่วนทางเทคโนโลยีการรับ/ส่งข้อมูล เป็นระบบ 2G: EDGE/GPRS 3G และ 4G สามารถใช้งาน Nano-SIM และใช้งาน eSIM รองรับ 2 ซิมการ์ด เป็นเรื่องว้าวมากสำหรับใครที่มองหาไอโฟนฟังก์ชั่นเจ๋งและยังรองรับสองซิมนะคะ พกพาไปไหนเพียงเครื่องเดียวก็สะดวกอย่างง่ายดายเลยทีเดียว
นอกจากนี้ก็มีระบบปฏิบัติการ (OS, CPU) ระบบปฏิบัติการ: iOS 13 พร้อมด้วยหน่วยประมวลผล : A13 Bionic chipหน่วยความจำ RAM 4GB ROM 64GB และระบบเชื่อมต่อการหาตำแหน่ง: Assisted GPS WiFi 802.11 a/b/g/n/ac พร้อมทั้งมีจุดกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบพกพา (Portable Wi-Fi Hotspot) เชื่อมต่อไร้สายระหว่างอุปกรณ์โดยตรง (Wi-Fi Direct) และ Bluetooth 5.0 USB Lightning
ส่วนทางฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย เอาใจสายถ่ายภาพกันมาแบบเต็มๆ ค่ะ เขามีฟังก์ชั่นลบจุดตาแดง (Red-eye Reduction) พร้อมทั้งระบบซูมดิจิตอล 5x เท่า (5xx Digital Zoom) และระบบซูมออฟติคอล 2x เท่า (2xx Optical Zoom) สามารถบันทึกวีดีโอระดับ HD และบันทึกวีดีโอระดับ 4K ด้านของเสียงนั้นมีลำโพงเสียงสเตอริโอ (Stereo speakers) และ ระบบเสียง Dolby Atmos อย่างดีทีเดียวค่ะ การรองรับแบตเตอรี่เทคโนโลยีเพิ่มความเร็วในการชาร์จ มีระบบชาร์จไร้สายในตัว แบตเตอรี่มาตรฐาน Li-ion 3,110 mAh (Standard Battery)
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada.co.th
Samsung Galaxy Note 10 Plus
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note นี้นับว่าเป็นสิ่งที่ล้ำไม่มีใครเกินเช่นกัน ขนาดตัวเครื่อง 162.3 x 77.2 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 196 กรัม (5G 198 กรัม) หน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ สแกนนิ้วใต้หน้าจอ Ultrasonic
กล้องหน้าความละเอียด 10MP รูรับแสง f/2.2 โหมด Night Shot ขณะที่กล้องหลัง Quad lens มีเลนส์มุมกว้าง Ultrawide 123 องศา ความละเอียด 16MP รูรับแสง f/2.2 เลนส์หลัก มุมกว้าง ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/1.5 & 2.4
เลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.1เลนส์ชัดลึก DoF พร้อมทั้งชิปประมวลผล Exynos 9825 RAM 12GB ROM 256GB UFS 3.0 (รุ่น 5G 256GB/512GB/1TB) รองรับ microSD Card สูงสุด 1TB พร้อมทั้งระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย One UI ระบบเสียง Dolby Atmos ลำโพงสเตอริโอ AKG ไมโครโฟน 3 ตัว (บน, ล่าง และด้านหลัง) แบตเตอรี่ 4,300mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W (อะแดปเตอร์ 45W แยกจำหน่าย) ชาร์จไร้สาย 20W PowerShare 15W ถาดซิมการ์ดแบบ Hybrid slot การเชื่อมต่อ WiFi 6, Bluetooth 5.0, NFC มาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 ขายในไทย 3 สี ได้แก่ สีรุ้ง Aura Glow, สีขาว Aura White, สีดำ Aura Black
สำหรับรุ่นนี้นะคะ ออกมาโดยจะมีให้เลือก 2 ขนาด สำหรับ Note10 จะมีขนาดหน้าจอที่ 6.3 นิ้ว และ Note10+ จะมีขนาดหน้าจอที่ 6.8 นิ้ว ขนาดใหญ่กว่า Note9 รุ่นก่อนหน้าถึง 0.4 นิ้ว แต่ตัวเครื่องนั้นบางลงเหลือ 7.9 มิลลิเมตร จาก 8.8 มิลลิเมตร เป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ Ultrasonic แบบเดียวกันกับ Galaxy S10 ซึ่งหน้าจอของ Note10+ นี้ ทาง DisplayMate ได้ให้คะแนนหน้าจอไว้ที่ A+ ถือเป็นหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในตอนนี้
นอกจากตัวเครื่องจะบางลงแล้ว ยังตัดปุ่ม Power ที่อยู่ด้านขวาของตัวเครื่องออก ย้ายมาใช้งานร่วมกับปุ่ม Bixby โดยจะทำงานเป็นปุ่ม Power เป็นหลัก และสามารถตั้งค่าสำหรับใช้งานผู้ช่วย Bixby เพิ่มเติมกันได้ และน่าเสียดายที่รุ่นนี้ตัดช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกไป แต่ก็ได้แบตเตอรี่เพิ่ม 100mAh
กาแลคซี่โน้ต ย่อมคู่กับปากกา S Pen มาในรุ่นนี้ก็ได้มีการปรับปรุงให้มีความสามารถมากขึ้น พร้อมกับฟีเจอร์การจด การเขียนต่างๆ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนทำงานได้ทุกที่ทุกเวลามากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแปลงข้อความที่เราจดใน Samsung Notes มาเป็นตัวอักษร ซึ่งสามารถก๊อปปี้ส่งต่อ หรือจะแปลงแล้ว export ออกมาเป็นไฟล์ MS Word หรือ PDF ก็ได้ จากที่เมื่อก่อนจะต้องมานั่งพิมพ์ใหม่ตามหลัง ใน Note10+ ก็แค่แปลง แล้วก็มีแก้ไขบางคำบางตัวอักษรที่ไม่สามารถอ่านลายมือของเราได้จริงๆ
Screen off memo ก็มีการเพิ่มสีให้เลือกใช้ถึง 5 สี โดยที่ไม่จำเป็นต้องเลือกสีของตัวเครื่องแล้ว สามารถครีเอทสร้างสรรค์ได้ตั้งแต่ยังไม่ปลดล็อคหน้าจอ ในส่วนความแม่นยำของการแปลงตัวเขียนมาเป็นตัวอักษรนั้น ยกให้มีความแม่นยำที่สูงมาก เพราะมีการผิดแค่ไม่กี่ตัวอักษรเท่านั้น และตัวที่ผิด ก็จะเป็นการเขียนที่ไม่ชัดเจน หากต้องการให้แปลงตัวอักษรง่ายขึ้น สระ วรรณยุกต์ และตัวอักษร จะต้องไม่ชิดติดกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้งาน S Pen ควบคุมการทำงานกล้องได้มากขึ้นกว่าการเป็นรีโมทชัตเตอร์ โดยทางซัมซุงได้ใส่เซ็นเซอร์ gyroscope เข้ามาเพื่อให้เราออกแอคชั่นต่างๆ ในการควบคุมการทำงานของโหมดกล้อง ซึ่งเรียกว่า Air actions
ในการถ่ายรูป ตัวกล้องยังมีฟีเจอร์ Shot suggestion เป็นการแนะนำการถ่ายรูปซึ่งจะช่วยให้องค์ประกอบของภาพดีขึ้น โดย AI Machine Learning เรียนรู้ภาพถ่ายมากกว่า 100,000,000 ภาพมาคอยแนะนำ ตรงนี้เหมาะมากสำหรับมือใหม่หัดถ่ายรูปซึ่งได้คอยเรียนรู้การจัดวางองค์ประกอบของภาพได้ และฟีเจอร์นี้ไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ หรือเลือกปิดการใช้งานก็ได้เช่นกัน
เป็นสมาร์ทโฟนที่ปรับปรุงเพื่อไลฟ์สไตล์คนทำงานและไลฟ์สไตล์ความบันเทิงได้อย่างลงตัว ทำให้สามารถใช้ปากกาจดแล้วนำไปใช้งานต่อไปรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องมาพิมพ์สรุปใหม่ภายหลัง ตัวกล้องก็ทำได้ดีขึ้นทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว อีกทั้งยังตัดต่อวิดีโอในเครื่องได้ดีขึ้น รวมถึงลูกเล่นที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอก็ทำได้มากขึ้นเช่นกัน หน้าจอใหญ่ สวย คมชัด ใช้งานแล้วสบายตา
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
Samsung Galaxy S10 และ Samsung Galaxy S10+
สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ ถือว่าเป็นโทรศัพท์ Android ที่ดีที่สุด มีหน้าจอ Super AMOLED ที่ดีที่สุด พร้อมกล้องที่มีคุณภาพ มีช่องเก็บหูฟังแบบขยายได้ และมีการชาร์จแบบไร้สาย รวมไปถึงช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ขนาดตัวเครื่อง 149.9 x 70.4 x 7.8 มิลลิเมตร หน้าจอ Dynamic AMOLED หน้าจอแบบ Infinity-O ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 3040 พิกเซล อัตราส่วน 19:9 กระจก Gorilla Glass 6 ระบบสแกนนิ้วใต้หน้าจอ Ultrasonic Fingerprint Sensor (เทคโนโลยีการสแกน 3 มิติ) ชิปเช็ต Exynos 9820 แรม/พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 8GB/128GB, 8GB/512GB
กล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วย เลนส์หลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/1.5, OIS, มุมกว้าง 77 องศา) +เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/2.2, มุมกว้าง 123 องศา) + เลนส์ Telephoto 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/2.4, OIS, ซูม 2x, มุมกว้าง 45 องศา)
กล้องหน้า Selfie Camera ความละเอียด 10MP Dual Pixel AF รูรับแสง f/1.9 พร้อมระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย One UI และการเชื่อมต่อพอร์ต USB-C มีช่องต่อชุดหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และระบบกันน้ำมาตรฐาน IP68 ค่ะ
แบตเตอรี : 3,400 mAh รองรับ Fast charging, Fast Wireless Charging 2.0 และเทคโนโลยี Wireless PowerShare
เรื่องดีไซน์กันก่อน หน้าจอมาเป็นแบบจอเจาะรู หรือที่เรียกว่า Infinity-O ซึ่งในคลิปเปิดตัวทางซัมซุงได้บอกไว้ว่าไม่อยากให้ซ้ำกับใคร (เทรนด์หน้าจอ Notch และ Rain drop) ก็เลยมีการนำหน้าจอแบบนี้มาใช้ ซึ่งทำให้เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มีการใช้หน้าจอ AMOLED แบบเจาะรู
ทางด้านการแสดงผลของหน้าจอ เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่รองรับการแสดงผลด้วย HDR10+ และมีสีสมจริงที่เหมือนตาเห็นมากที่สุด (0.4 JNCD) มี Contrast 2,000,000 : 1 ความสว่าง 800 nits และที่ดีที่สุดก็คือมีระบบ AI ที่ลดแสงสีฟ้าลง 42% โดยที่ไม่ทำให้จอเหลือง ทำให้เรายังมองเห็นสีสันบนหน้าจอได้สมจริงมากที่สุด
การใช้หน้าจอแบบนี้ทำให้ลดขนาดตัวเครื่องลงมาได้ เพราะไม่ต้องมีขอบหน้าจอด้านบน มีความหนาเพียงแค่ 7.8 มิลลิเมตร น้ำหนักเบาขึ้นกว่าเดิม ใครที่ใช้ Galaxy Note 8, Note 9 หรือรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy S9+ มาจับจะรู้สึกได้ว่าเบากว่าเดิมมาก
ตัวฟิล์มกันรอยก็ติดมาให้เลย เหตุเพราะรุ่นนี้ได้เปลี่ยนการสแกนลายนิ้วมือมาไว้ใต้หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ Ultrasonic Fingerprint Sensor ที่จะมีปัญหากับการใช้งานเมื่อติดฟิล์มกระจก ทางซัมซุงก็เลยทำการติดมาให้เลย เปิดกล่อง เปิดเครื่อง ก็ใช้งานได้ทันที ส่วนข้อดีก็คือสามารถสแกนลายนิ้วมือได้แม้นิ้วเปียกน้ำ การสแกนลายนิ้วมือแบบนี้จะเป็นการใช้คลื่นเสียงมาช่วยสแกนแบบ 3D ต่างจากเดิมที่เป็นแบบ 3D นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องของความปลอดภัยเพราะไม่สามารถใช้ลายนิ้วมือปลอมมาสแกนได้
สีที่ได้มาเป็นสี Prism Black และ Prism White หลังจากช่วงที่ผ่านมาเรามักจะเจอสมาร์ทโฟนฝาหลังไล่เฉดสีสวยๆ แต่สำหรับ Galaxy S10+ และ Galaxy S10 นี้แตกต่างออกไป สี Prism White จะแสดงสีแตกต่างกันไปเมื่อมีแสงมาตกกระทบ ทำให้โดดเด่นและสวยงามมากขึ้น และขอบอะลูมิเนียมสีเงินช่วยทำให้ตัวเครื่องดูหรูหรามากขึ้น ส่วนสี Prism Black ก็เป็นสีดำสวยงามแบบเรียบๆ ใครที่ไม่อยากเหมือนใคร แนะนำสี Prim White และ Prism Green ส่วนถ้าอยากได้ให้ต่างออกไปอีกก็ต้องไปรุ่นพิเศษ Ceramic กันเลย
ถาดใส่ซิมการ์ดยังเป็นแบบไฮบริดจ์ ต้องเลือกว่าจะใช้ซิมการ์ดคู่กับเมมโมรี่การ์ดหรือจะใช้งาน 2 ซิม
จุดเด่นของรุ่นนี้คนชอบถ่ายรูปน่าจะชอบมากขึ้น กล้องหลังตัวใหม่ มีมา 3 เลนส์ แต่ละเลนส์ก็ทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น อยากเก็บภาพมุมกว้างก็ใช้เลนส์ Ultrawide ที่ทำให้ได้ภาพมุมกว้างขึ้น อยากซูมเข้าไปก็ใช้เลนส์ Telephotos ที่ซูมได้ 2x แบบไม่เสียรายละเอียด แต่สิ่งที่ช่วยทำให้ถ่ายรูปได้สนุกขึ้นก็คือ ระบบ AI ที่ช่วยปรับภาพให้เข้ากับวัตถุที่เราถ่าย ซึ่งเรียกว่า Scene Optimizer ในรุ่นใหม่นี้มีการเพิ่มซีนเข้ามาอีก 10 ซีน เป็นทั้งหมด 30 ซีน
และยังมี Shot suggestion มีการแนะนำการถ่ายรูปซึ่งจะช่วยให้องค์ประกอบของภาพดีขึ้น ทำให้ภาพดูน่าสนใจมากขึ้น โดย AI Machine Learning เรียนรู้ภาพถ่ายมากกว่า 100,000,000 ภาพมาคอยแนะนำ ตรงนี้เหมาะมากสำหรับมือใหม่หัดถ่ายรูป พร้อมทั้งการรองรับระบบ BRIGHT NIGHT ถ่ายภาพกลางคืน ถือว่ากล้องของ Galaxy S10+ และ Galaxy S10 ทำได้ดี ไม่ผิดหวัง
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : lazada
Samsung Galaxy Note 10 Plus
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note นี้นับว่าเป็นสิ่งที่ล้ำไม่มีใครเกินเช่นกัน ขนาดตัวเครื่อง 162.3 x 77.2 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 196 กรัม (5G 198 กรัม) หน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ สแกนนิ้วใต้หน้าจอ Ultrasonic
กล้องหน้าความละเอียด 10MP รูรับแสง f/2.2 โหมด Night Shot ขณะที่กล้องหลัง Quad lens มีเลนส์มุมกว้าง Ultrawide 123 องศา ความละเอียด 16MP รูรับแสง f/2.2 เลนส์หลัก มุมกว้าง ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/1.5 & 2.4
เลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.1เลนส์ชัดลึก DoF พร้อมทั้งชิปประมวลผล Exynos 9825 RAM 12GB ROM 256GB UFS 3.0 (รุ่น 5G 256GB/512GB/1TB) รองรับ microSD Card สูงสุด 1TB พร้อมทั้งระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย One UI ระบบเสียง Dolby Atmos ลำโพงสเตอริโอ AKG ไมโครโฟน 3 ตัว (บน, ล่าง และด้านหลัง) แบตเตอรี่ 4,300mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W (อะแดปเตอร์ 45W แยกจำหน่าย) ชาร์จไร้สาย 20W PowerShare 15W ถาดซิมการ์ดแบบ Hybrid slot การเชื่อมต่อ WiFi 6, Bluetooth 5.0, NFC มาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 ขายในไทย 3 สี ได้แก่ สีรุ้ง Aura Glow, สีขาว Aura White, สีดำ Aura Black
สำหรับรุ่นนี้นะคะ ออกมาโดยจะมีให้เลือก 2 ขนาด สำหรับ Note10 จะมีขนาดหน้าจอที่ 6.3 นิ้ว และ Note10+ จะมีขนาดหน้าจอที่ 6.8 นิ้ว ขนาดใหญ่กว่า Note9 รุ่นก่อนหน้าถึง 0.4 นิ้ว แต่ตัวเครื่องนั้นบางลงเหลือ 7.9 มิลลิเมตร จาก 8.8 มิลลิเมตร เป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ Ultrasonic แบบเดียวกันกับ Galaxy S10 ซึ่งหน้าจอของ Note10+ นี้ ทาง DisplayMate ได้ให้คะแนนหน้าจอไว้ที่ A+ ถือเป็นหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในตอนนี้
นอกจากตัวเครื่องจะบางลงแล้ว ยังตัดปุ่ม Power ที่อยู่ด้านขวาของตัวเครื่องออก ย้ายมาใช้งานร่วมกับปุ่ม Bixby โดยจะทำงานเป็นปุ่ม Power เป็นหลัก และสามารถตั้งค่าสำหรับใช้งานผู้ช่วย Bixby เพิ่มเติมกันได้ และน่าเสียดายที่รุ่นนี้ตัดช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกไป แต่ก็ได้แบตเตอรี่เพิ่ม 100mAh
กาแลคซี่โน้ต ย่อมคู่กับปากกา S Pen มาในรุ่นนี้ก็ได้มีการปรับปรุงให้มีความสามารถมากขึ้น พร้อมกับฟีเจอร์การจด การเขียนต่างๆ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนทำงานได้ทุกที่ทุกเวลามากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแปลงข้อความที่เราจดใน Samsung Notes มาเป็นตัวอักษร ซึ่งสามารถก๊อปปี้ส่งต่อ หรือจะแปลงแล้ว export ออกมาเป็นไฟล์ MS Word หรือ PDF ก็ได้ จากที่เมื่อก่อนจะต้องมานั่งพิมพ์ใหม่ตามหลัง ใน Note10+ ก็แค่แปลง แล้วก็มีแก้ไขบางคำบางตัวอักษรที่ไม่สามารถอ่านลายมือของเราได้จริงๆ
Screen off memo ก็มีการเพิ่มสีให้เลือกใช้ถึง 5 สี โดยที่ไม่จำเป็นต้องเลือกสีของตัวเครื่องแล้ว สามารถครีเอทสร้างสรรค์ได้ตั้งแต่ยังไม่ปลดล็อคหน้าจอ ในส่วนความแม่นยำของการแปลงตัวเขียนมาเป็นตัวอักษรนั้น ยกให้มีความแม่นยำที่สูงมาก เพราะมีการผิดแค่ไม่กี่ตัวอักษรเท่านั้น และตัวที่ผิด ก็จะเป็นการเขียนที่ไม่ชัดเจน หากต้องการให้แปลงตัวอักษรง่ายขึ้น สระ วรรณยุกต์ และตัวอักษร จะต้องไม่ชิดติดกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้งาน S Pen ควบคุมการทำงานกล้องได้มากขึ้นกว่าการเป็นรีโมทชัตเตอร์ โดยทางซัมซุงได้ใส่เซ็นเซอร์ gyroscope เข้ามาเพื่อให้เราออกแอคชั่นต่างๆ ในการควบคุมการทำงานของโหมดกล้อง ซึ่งเรียกว่า Air actions
ในการถ่ายรูป ตัวกล้องยังมีฟีเจอร์ Shot suggestion เป็นการแนะนำการถ่ายรูปซึ่งจะช่วยให้องค์ประกอบของภาพดีขึ้น โดย AI Machine Learning เรียนรู้ภาพถ่ายมากกว่า 100,000,000 ภาพมาคอยแนะนำ ตรงนี้เหมาะมากสำหรับมือใหม่หัดถ่ายรูปซึ่งได้คอยเรียนรู้การจัดวางองค์ประกอบของภาพได้ และฟีเจอร์นี้ไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ หรือเลือกปิดการใช้งานก็ได้เช่นกัน
เป็นสมาร์ทโฟนที่ปรับปรุงเพื่อไลฟ์สไตล์คนทำงานและไลฟ์สไตล์ความบันเทิงได้อย่างลงตัว ทำให้สามารถใช้ปากกาจดแล้วนำไปใช้งานต่อไปรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องมาพิมพ์สรุปใหม่ภายหลัง ตัวกล้องก็ทำได้ดีขึ้นทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว อีกทั้งยังตัดต่อวิดีโอในเครื่องได้ดีขึ้น รวมถึงลูกเล่นที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอก็ทำได้มากขึ้นเช่นกัน หน้าจอใหญ่ สวย คมชัด ใช้งานแล้วสบายตา
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
OnePlus 7 Pro
ดีไซน์กระจกหน้าหลังสวยงามดูเรียบหรู วัสดุที่นำมาใช้งานในรุ่นนี้เวลาจับแล้วให้ความรู้สึกถึงความพรีเมี่ยมหรูหราขึ้นมาทันที ตัวเครื่องยังมีดีไซน์ขอบโค้งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สำหรับขอบโค้งนี้จะโค้งเข้ากับอุ้งมือเวลาหยิบจับใช้งานแทบจะไม่รู้สึกว่าตัวเครื่องกว้างเลย ทั้งนี้จริงๆแล้วมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่มาก และถ้าใครที่ไม่ชอบใช้งานแบบเปลือยๆ ภายในกล่องก็จะแถมเคสใสมาให้ใช้งานกันด้วย และมีการติดฟิล์มกันรอยมาให้เลย มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเทาเงา Mirror Grey, สีฟ้า Nebula Blue และ สีครีม Almond ซึ่งสีที่เราได้มาทดสอบก็คือ สีเทาเงา Mirror Grey นั่นเอง
สำหรับรุ่นนี้ได้มีการพัฒนาหน้าจอให้ดีขึ้นต่อผู้ใช้งานมากขึ้น การันตีโดยคะแนนการทดสอบหน้าจอระดับ A+ จาก Display Mate ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบจอภาพแสดงผลชั้นนำของโลก หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ดีไซน์ขอบจอโค้งและบาง ไร้รอยบาก มีความละเอียด Quad HD+ 3,120 x 1,440 พิกเซล (516ppi) รองรับ HDR 10+ อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9 ที่ให้ความคมชัดและสีสันที่สมจริง และมีรีเฟรชเรท 90Hz ทำให้การแสดงผลหน้าจอที่เนียนตาสวยงามไหลลื่นและยังตอบสนองได้อย่างรวดเร็วกว่าหน้าจอปกติบนสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ
ค่ารีเฟรชเรตระดับ 90Hz นี้มีผลต่อการเล่นเกมเช่นเดียวกัน การทัชหน้าจอเพื่อบังคับตัวละครในเกมต่างๆ เมื่อมีค่ารีเฟรชเรตที่สูงจึงทำให้มีการตอบสนองต่อการทัชหน้าจอได้ดีกว่าหน้าจอปกติบนสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป ไม่มีอาการหน่วงให้เห็น ส่วน HDR10+ นี้จะช่วยให้คนที่ชอบดูภาพยนตร์, ซีรีส์ คลิปวิดีโอต่างๆ ผ่าน Netflix จะทำให้เรารับชมได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น เพราะหน้าจอจะแสดงผลคมชัดสีสันสวยงามสมจริงมากกว่าหน้าจอปกติของสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ รวมถึงระบบเสียง Dolby Atmos ที่ให้เสียงดีมีมิติมากขึ้น หากต้องการใช้หูฟังบลูทูธก็รองรับ aptX HD อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Night Mode 2.0 ที่จะมาช่วยถนอมสายตาเวลาใช้งานสมาร์ทโฟนในที่แสงน้อยหรือที่มืด จะมีการช่วยตัดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาออกจากหน้าจอ ตรงนี้ถือว่า OnePlus นั้นเข้าใจและใส่ใจรายละเอียดในการใช้งานของเราๆ กันเลย และด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ OnePlus 7 Pro กลายเป็นผู้นำทางด้านหน้าจอบนสมาร์ทโฟนแบบล้ำสมัยไปแล้ว
เลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เทียบเท่าระยะเลนส์ 78 มม. รูรับแสงกว้าง f/2.4 ขนาดพิกเซลใหญ่ถึง 1µm พิกเซล มีระบบลดการสั่นไหว OIS สามารถซูมออปติคอลได้ 3 เท่า รองรับการซูมแบบดิจิตอลได้ถึง 10 เท่า ส่วนการถ่ายวิดีโอ ก็สามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ระดับ 4K 30/60 fps และ 1080P 30/60 fps ใช้งานง่ายสลับการใช้เลนส์หลัก, เลนส์เทเลโฟโต้ และเลนส์มุมกว้างได้ง่ายดายเพียงแค่แตะที่ไอค่อนเท่านั้น รวมถึงการเปลี่ยนโหมดก็เพียงแค่ปัดหน้าจอไปทางซ้ายหรือขวา การโฟกัสต่างๆ ก็ทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และยังมีโหมด Portrait, Nightscape, Time-lapse, Slow motion และ Panorama ไว้ให้ใช้งาน
แบตเตอรี่ที่ให้มา 4,000mAh สามารถใช้งานทั่วไป เล่นเกมบ้าง เล่น Facebook, LINE, Instagram ก็สามารถอยู่ได้ทั่งวัน อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี WARP Charge 30 ชาร์จเร็ว 30W กับอะแดปเตอร์ที่มาในกล่อง สามารถชาร์จจาก 0% เพียง 20 นาที ได้ถึง 48% และยังชาร์จได้เร็วแม้ว่าจะมีการชาร์จไปพร้อมกับการเล่นเกม
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
OnePlus 7 Pro
ดีไซน์กระจกหน้าหลังสวยงามดูเรียบหรู วัสดุที่นำมาใช้งานในรุ่นนี้เวลาจับแล้วให้ความรู้สึกถึงความพรีเมี่ยมหรูหราขึ้นมาทันที ตัวเครื่องยังมีดีไซน์ขอบโค้งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สำหรับขอบโค้งนี้จะโค้งเข้ากับอุ้งมือเวลาหยิบจับใช้งานแทบจะไม่รู้สึกว่าตัวเครื่องกว้างเลย ทั้งนี้จริงๆแล้วมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่มาก และถ้าใครที่ไม่ชอบใช้งานแบบเปลือยๆ ภายในกล่องก็จะแถมเคสใสมาให้ใช้งานกันด้วย และมีการติดฟิล์มกันรอยมาให้เลย มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเทาเงา Mirror Grey, สีฟ้า Nebula Blue และ สีครีม Almond ซึ่งสีที่เราได้มาทดสอบก็คือ สีเทาเงา Mirror Grey นั่นเอง
สำหรับรุ่นนี้ได้มีการพัฒนาหน้าจอให้ดีขึ้นต่อผู้ใช้งานมากขึ้น การันตีโดยคะแนนการทดสอบหน้าจอระดับ A+ จาก Display Mate ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบจอภาพแสดงผลชั้นนำของโลก หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ดีไซน์ขอบจอโค้งและบาง ไร้รอยบาก มีความละเอียด Quad HD+ 3,120 x 1,440 พิกเซล (516ppi) รองรับ HDR 10+ อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9 ที่ให้ความคมชัดและสีสันที่สมจริง และมีรีเฟรชเรท 90Hz ทำให้การแสดงผลหน้าจอที่เนียนตาสวยงามไหลลื่นและยังตอบสนองได้อย่างรวดเร็วกว่าหน้าจอปกติบนสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ
ค่ารีเฟรชเรตระดับ 90Hz นี้มีผลต่อการเล่นเกมเช่นเดียวกัน การทัชหน้าจอเพื่อบังคับตัวละครในเกมต่างๆ เมื่อมีค่ารีเฟรชเรตที่สูงจึงทำให้มีการตอบสนองต่อการทัชหน้าจอได้ดีกว่าหน้าจอปกติบนสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป ไม่มีอาการหน่วงให้เห็น ส่วน HDR10+ นี้จะช่วยให้คนที่ชอบดูภาพยนตร์, ซีรีส์ คลิปวิดีโอต่างๆ ผ่าน Netflix จะทำให้เรารับชมได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น เพราะหน้าจอจะแสดงผลคมชัดสีสันสวยงามสมจริงมากกว่าหน้าจอปกติของสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ รวมถึงระบบเสียง Dolby Atmos ที่ให้เสียงดีมีมิติมากขึ้น หากต้องการใช้หูฟังบลูทูธก็รองรับ aptX HD อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Night Mode 2.0 ที่จะมาช่วยถนอมสายตาเวลาใช้งานสมาร์ทโฟนในที่แสงน้อยหรือที่มืด จะมีการช่วยตัดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาออกจากหน้าจอ ตรงนี้ถือว่า OnePlus นั้นเข้าใจและใส่ใจรายละเอียดในการใช้งานของเราๆ กันเลย และด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ OnePlus 7 Pro กลายเป็นผู้นำทางด้านหน้าจอบนสมาร์ทโฟนแบบล้ำสมัยไปแล้ว
เลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เทียบเท่าระยะเลนส์ 78 มม. รูรับแสงกว้าง f/2.4 ขนาดพิกเซลใหญ่ถึง 1µm พิกเซล มีระบบลดการสั่นไหว OIS สามารถซูมออปติคอลได้ 3 เท่า รองรับการซูมแบบดิจิตอลได้ถึง 10 เท่า ส่วนการถ่ายวิดีโอ ก็สามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ระดับ 4K 30/60 fps และ 1080P 30/60 fps ใช้งานง่ายสลับการใช้เลนส์หลัก, เลนส์เทเลโฟโต้ และเลนส์มุมกว้างได้ง่ายดายเพียงแค่แตะที่ไอค่อนเท่านั้น รวมถึงการเปลี่ยนโหมดก็เพียงแค่ปัดหน้าจอไปทางซ้ายหรือขวา การโฟกัสต่างๆ ก็ทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และยังมีโหมด Portrait, Nightscape, Time-lapse, Slow motion และ Panorama ไว้ให้ใช้งาน
แบตเตอรี่ที่ให้มา 4,000mAh สามารถใช้งานทั่วไป เล่นเกมบ้าง เล่น Facebook, LINE, Instagram ก็สามารถอยู่ได้ทั่งวัน อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี WARP Charge 30 ชาร์จเร็ว 30W กับอะแดปเตอร์ที่มาในกล่อง สามารถชาร์จจาก 0% เพียง 20 นาที ได้ถึง 48% และยังชาร์จได้เร็วแม้ว่าจะมีการชาร์จไปพร้อมกับการเล่นเกม
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
Google Pixel 4 XL
ของดีของเด็ดจาก Google ตัวเครื่องจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ Just Black, Clearly White และ Oh So Orange ที่เป็นสีพิเศษสำหรับรุ่นนี้ โดยตัวเครื่องที่ใช้ในการพรีวิวครั้งนี้ก็คือ Pixel 4 สี Oh So Orange และ Pixel 4 XL สี Cleary White นั่นเอง จะเห็นว่ากล่องของทั้ง 2 รุ่นมีขนาดเท่ากันเป๊ะๆ จุดที่แตกต่างกันก็คือชื่อรุ่นและภาพตัวเครื่องที่อยู่บนกล่อง โดยในกล่องประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, อะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W, สาย USB-C, หัวแปลง USB-A เป็น USB-C และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น + เข็มจิ้มถาดซิม สำหรับอะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W ที่ให้มาก็จะจ่ายไฟ 5V/3A และ 9V/2A
ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับ Android 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด และใช้ Qualcomm Snapdragon 855 ที่เป็น 64-bit Octa-core โดยมีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.84 GHz + 1.78 GHz ที่มาพร้อมกับ Qualcomm Adreno 640 ส่วน RAM ก็ให้มามากถึง 6GB และความจุสำหรับเก็บข้อมูลจะมีให้เลือกระหว่าง 64GB และ 128GB
สำหรับ Pixel 4 นั้นจะมีการดีไซน์ตัวเครื่องที่ต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะในรุ่นนี้ผิวของตัวเครื่องจะใช้วัสดุผิวด้าน (Matte) ทั้งหมด ไม่ได้เป็นผิวเงา (Glossy) บางส่วนเหมือนรุ่นก่อนๆ และด้านข้างตัวเครื่องใช้เป็นสีดำที่เป็นผิวด้านไม่ว่าตัวเครื่องจะเป็นสีใดก็ตาม
ปุ่มด้านล่างของตัวเครื่องเป็นช่องไมโครโฟน, USB-C 3.1 และช่องลำโพง (เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา) ซึ่งก็แอบเสียใจเล็กน้อยที่รุ่นนี้ย้ายลำโพงมาอยู่ใต้เครื่องเหมือนกับ Pixel 3A แล้ว ส่วนช่องหูฟัง 3.5mm นั้น อย่าไปถามหาเลย ด้านข้างฝั่งซ้ายของตัวเครื่องจะมีช่องใส่ถาดซิมแบบ Nano SIM และรุ่นนี้ก็รองรับ e-SIM ได้เหมือนเดิมนะ ส่วนด้านข้างฝั่งขวาจะมีแค่ปุ่ม Power และ Volume เท่านั้น และสำหรับปุ่ม Power ถ้าเป็นเครื่องสี Just Black จะได้ปุ่มเป็นสีขาว ส่วนเครื่องสี Clearly White จะได้ปุ่มเป็นสีส้มแบบสีของตัวเครื่อง Oh So Orange ส่วนตัวเครื่องสี Oh So Orange จะได้ปุ่มที่มีสีอ่อนกว่าสีตัวเครื่องหน่อยนึง กล้องหน้า 8MP, Ambient Light Sensor, Proximity Sensor, ช่องลำโพง และ Radar Sensor สำหรับ Motion Sense กล้องหลังจะมี 2 ตัวด้วยกันคือเลนส์ปกติความละเอียด 12.2 MP รูรับแสง ƒ/1.7 และเลนส์เทเล 16 MP รูรับแสง ƒ/2.4 โดยกล้องหลังจะมีระบบกันสั่นและ Spectral + Flicker Sensor สำหรับแก้ปัญหาการถ่ายภาพหรือวีดีโอบนหน้าจอแล้วเห็นภาพเป็นเส้นๆ โดยตัวกล้องหลังจะรองรับการถ่ายวีดีโอได้ถึง 4K แต่ว่ายังคงอยู่ที่ 30fps เท่านั้น ส่วน 1080p นั้นเลือกได้เลยว่าจะเป็น 30fps, 60fps หรือ 120fps แบตเตอรี่ จะมีความจุ 2,800 mAh ส่วน Pixel 4 XL จะมีความจุ 3,700 mAh
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
Samsung Galaxy S10e
Samsung Galaxy S10e จะมีขนาดหน้าจอเล็กกว่าตระกูล S10 โดยมีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้วเท่านั้น ความละเอียดหน้าจอรุ่นนี้ลดลงเหลือ 2280×1080 หรือ Full HD+ และหน้าจอเป็นแบบ Dynamic AMOLED เหมือนกับรุ่นพี่ตัวอื่นนั่นคือข่าวดีค่ะ พร้อมกับกล้องหน้า 10 ล้านพิกเซลฝั่งในหน้าจอ พร้อมผลักลำโพงและเซนเซอร์ไว้บนสุด
ส่วนรอบตัวเครื่องเป็นวัสดุแบบเดียวกัน S10 และ S10+ นั่นคือโลหะเกรดดีใช้ได้ฝั่งซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียง, ปุ่ม Bixby, ฝั่งขวามีระบบสแกนลายนิ้วมือ และปุ่ม Power รวมเป็นปุ่มเดียวกัน ส่วนบนมีช่องใส่ซิมแบบ Hybrid Slot, NanoSIM, ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน, ล่างสุดมีไมโครโฟน, USB-C ลำโพงตัวเครื่อง
หลังเครื่องยังเป็นกระจก Gorilla Glass 5 เหมือนกับด้านหน้า มาพร้อมกับสีสันสวยงาม มีให้เลือกแค่ Prism White และ Prism Green พร้อมกล้องหลังคู่ โลโก้ Samsung ซึ่งรองรับ NFC, Wireless Charge ด้วย โดยลูกเล่นในภาพรวมของ Galaxy S10e ยังคงเหมือนกับ S10 และ S10+ ที่ได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ ถ้าจะบอกความแตกต่างนั้นคือเรื่องของระบบสแกนลายนิ้วมือที่จะต้องสแกนผ่านด้านข้างเท่านั้น
สำหรับกล้องของ Samsung Galaxy S10e จะรองรับการทำงานเหมือนกับ Galaxy S10 และ S10+ ทั้งหมด ถ้าจะขาดแคลนก็แค่เลนส์เท่านั้นที่เหลือแค่ 2 เลนส์เท่านั้น นั่นคือเลนส์ Wide ขนาด 16 ล้านพิกเซล มุมมอง 123 องศา และ 12 ล้านพิกเซล 77 องศา ที่เป็น Dual Pixel, และปรับรูรับแสงได้
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
Huawei P30 Pro
Huawei P30 Pro สมาร์ทโฟนที่โดดเด่นมากที่สุดเรื่องกล้อง ซึ่งแน่นอนว่าได้รับความนิยมมากที่สุด ณ ตอนนี้ แถมยังได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ที่เป็นกล้องที่ดีที่สุดจาก Dxomark อีกด้วย นอกจากนี้ การดีไซน์มีความทันสมัย, กล้องซูม Periscope ที่ไม่เหมือนใคร และมีความสามารถในการถ่ายภาพตอนกลางคืนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด, ความอึดของแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน และมีการชาร์จแบบไร้สาย กำลังสร้างจุดสูงสุดใหม่ของการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน ซูมเพื่อสำรวจความลึกลับของท้องฟ้ายามค่ำคืน ดูนกอินทรีบินวนอยู่เหนือต้นไม้ หรือสำรวจรายละเอียดที่ประณีตของคริสตัล เก็บภาพสิ่งที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น และสร้างสรรค์จินตนาการของคุณเพื่ออนาคต
ด้วยแรงบันดาลใจจากท้องฟ้าที่น่าอัศจรรย์ HUAWEI P30 Pro สะท้อนให้เห็นสีสันอันน่าทึ่งของแสงและอวกาศ ด้วยความงามของรุ่งอรุณสีกุหลาบ ท้องฟ้าตอนกลางวัน แสงออโรราอันลึกลับ และความมืดมิดยามค่ำคืน เห็นโลกใบนี้อย่างครบครันด้วยระบบกล้อง Leica Quad ระบบกล้องนี้รวมถึงเลนส์ SuperZoom, กล้อง Super Sensing ความละเอียด 40 MP, เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 20 MP, และกล้องหัวเว่ย TOF ทั้งหมดจะช่วยให้คุณมีอิสระอย่างเต็มที่ในการเก็บช่วงเวลาที่แสนพิเศษ
เลนส์เทเลโฟโต้รุ่นใหม่ขนาดกะทัดรัดช่วยให้สามารถซูมออปติคอลได้มากขึ้นโดยยังคงคุณภาพของภาพไว้ได้เป็นอย่างดี และเมื่อรวมกับความอิ่มตัวของสี (Saturation) จากกล้องหลักที่มีความละเอียด 40 MP ความเสถียรของ OIS เลนส์ SuperZoom ที่ให้การซูมแบบไฮบริดถึง 101 เท่าให้คุณเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยความละเอียดและรายละเอียดที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังนำดวงจันทร์อยู่ตรงหน้าคุณด้วยการซูมสูงสุดถึง 50 เท่า กฎการตรวจจับสีได้รับการเขียนขึ้นใหม่โดย HUAWEI จาก RGGB ถึง RYYB เพื่อให้แสงในทุกภาพมากขึ้น ที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ HUAWEI SuperSpectrum ซึ่งให้แสงเพิ่มขึ้น 40%2, 2 ISP ของ Kirin 980 และอัลกอริธึมที่เรียนรู้ได้ จะช่วยคุณในการเก็บความทรงจำที่ชัดเจนตั้งแต่กลางวันจนถึงกลางคืน
ค้นพบความงดงามที่ซ่อนอยู่ในตอนกลางคืนด้วยค่า ISO 409,600 บน HUAWEI P30 Pro แม้ในสถานการณ์ที่มืดสุดขีดคุณสามารถค้นพบสีสันที่หลากหลาย
ขับเคลื่อนโดย HUAWEI TOF Camera ที่ทำการวัดความลึกของวัตถุด้วยความแม่นยำและ AIS Long Exposure Shot รูปบุคคลของคุณจะคมชัดจะถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์ พื้นหลังจะเบลออย่างต่อเนื่องพร้อมเอฟเฟกต์ที่แตกต่างกันเพื่อมอบโบเก้ระดับมืออาชีพ พร้อมทั้งการวิเคราะห์แสงแบ็คไลท์และรูปถ่ายที่มีแสงน้อยนับแสนครั้ง ทำให้ HUAWEI สามารถ พัฒนา AI HDR+ ที่มอบความคมชัดในภาพถ่ายของคุณด้วยการใช้ AI ประเมิน เฟรมภาพต่างๆ และแบ่งส่วนของภาพถ่าย เพื่อรวมคุณสมบัติที่ดีที่สุดของแสงและสีที่ต่างกันในเลเยอร์ต่าง ๆ เพื่อให้กล้องโฟกัสที่หน้าของคุณ
รองรับการถ่ายภาพแบบเลนส์มาโคร โลกนี้เป็นของคุณที่จะค้นพบได้จากระยะใกล้เพียง 2.5 ซม. กล้องหน้า 32 เมกะพิกเซลใน HUAWEI P30 Pro จะจดจำคุณได้อย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างการเซลฟี่ที่สวยงาม โดยการวาดเส้นเค้าโครงใบหน้าของคุณให้มีความสว่างและความคมชัดอย่าง แม่นยำ การเซลฟี่ของคุณจะเปล่งปลั่งด้วยรายละเอียดที่น่าตื่นตาตื่นใจ แม้ในที่ย้อนแสง หรือระหว่างงานปาร์ตี้ยามค่ำคืนโหมดซูเปอร์ไนท์เซลฟี่ เสริมพลังกล้องหน้าให้จับภาพโครงหน้าได้คมชัด กระจ่างขึ้น ช่วยให้หน้าของคุณสว่างขึ้นขณะที่พื้นหลังยังคมชัดอยู่ แม้ในที่แสงน้อย ก็ยังก็เซลฟี่ได้สวย สว่าง ชัด
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
Samsung Galaxy S10
นับว่าฮอตฮิตจริงๆ ค่ะสำหรับ Samsung Galaxy S10 ตอบโจทย์ทั้งความนิยมและฟังก์ชั่นแบบหลากหลายมากทีเดียว ใครที่ไม่ไหวกับราคารุ่นบนๆ นับว่ารุ่น S10 ธรรมดาก็ยังไม่ตกรุ่นประจำปีนะคะ เราไปดูจุดเด่นของเขากันดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้าง Galaxy S10 กับ S10+ ก็จะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปจาก S9 กับ S9+ ค่อนข้างชัดเจนค่ะ นั่นคือเปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ Infinity-O ซึ่งมีการเจาะรู หรือ Hole Punching ที่มุมขวาบนของหน้าจอ S10 จะมีกล้อง Selfie เพียงกล้องเดียว ในด้านขนาดหน้าจอของ Galaxy S10 จะมีขนาดอยู่ที่ 6.1 นิ้ว นั่นคือมีกล้องเพิ่มเป็น 3 ตัว หรือ Triple Camera และมีการจัดเรียงในแนวนอน กระจกหน้าจอของ Galaxy S10 กับ S10+ นั้นเป็นกระจกนิรภัยรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Gorilla Glass 6
และกรอบด้านข้างนั้นทำมาจากโลหะอะลูมิเนียมซีรีย์ 7000 ที่ดูพรีเมียมสวยหรู และแข็งแกร่งทนทานนอกจากนี้ก็มาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ตามยุคสมัยและมีช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรติดตั้งมาให้ใช้งาน แต่ตัวเครื่องกลับยังคงดูบางเฉียบ ถาดใส่ซิมการ์ดยังคงเลือกใช้แบบ Hybrid Slot ซึ่งช่องใส่ซิมการ์ดที่สอง ต้องเลือกใส่อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ดแบบ nanoSIM หรือการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD และแน่นอนว่าตัวเครื่องยังคงมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68 ซึ่งแม้เราจะเผลอทำตัวเครื่องหล่นลงไปใต้น้ำแบบนี้ ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่หากหลีกเลี่ยงการโดนน้ำได้ก็จะดีที่สุดค่ะ
ลักษณะของหน้าจอ การตอบสนองความละเอียดด้านของวีดีโอ ดีไซน์หน้าจอใหม่ล่าสุดแบบ Infinity-O ในอัตราส่วนใหม่แบบ 19:9 ที่ไร้รอยบาก และแทนที่ด้วยการเจาะรูที่มุมบนขวา หรือที่เรียกว่า Hole Punching มีความละเอียดอยู่ที่ระดับ 2K QHD+ หรือ 3040×1440 พิกเซล เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้จอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED HDR+ ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+
ความปลอดภัย สามารถลดแสงสีฟ้าได้มากกว่าเดิม 42% เมื่อเทียบกับหน้าจอของ Galaxy S9 รวมถึงได้รับการรับรองว่าเป็นหน้าจอที่ถนอมสายตา หรือ Eye Comfort Display จากสถาบัน TUV Rheinland ผู้ใช้งานยังสามารถปรับโหมดการแสดงผลได้เอง 2 โหมดด้วยกัน นั่นคือ Vivid กับ Natural รวมถึงการปรับค่าสมดุลสีขาว และที่น่าสนใจมากคือ เป็นรุ่นแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic ซึ่งเป็นการสแกนแบบ 3 มิติ ที่ปลอดภัยกว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่า จนได้รับการรับรองความปลอดภัยตามมาตรฐาน FIDO ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงสามารถสแกนขณะนิ้วเปียกน้ำได้ด้วย
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
iPhone XR
IPhone หลักหมื่นที่ราคาซอฟต์ลงมาจากไอโฟนรุ่น 11 ที่กำลังบูมอยู่ช่วงนี้นะคะ นับว่า iPhone XR เขาก็มีจุดเด่นที่นำสมัยไม่น้อยไปกว่าตัวอื่นเลยนะ ด้วยหน้าจอ IPS LCD Liquid Retina 6.1″ พร้อมทั้งมีความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล ขณะที่ความหนาแน่นพิกเซล 326ppi และยังมีหน่วยประมวลผล Apple A12 Bionic 7 นาโนเมตร
รวมไปถึงการรองรับระบบชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi กล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล f/2.2 มาพร้อมระบบ FaceID สแกนใบหน้าปลดล็อค กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล f/1.8 ลำโพงคู่ Stereo รองรับการใช้งาน Nano Sim + E-Sim และยังกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 ได้อีกด้วยจ้า นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์เด่นเกี่ยวกับ iPhone XR ตามหัวข้อดังต่อไปนี้จอ LCD Liquid Retina 6.1 นิ้ว ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยกล้องหลังตัวเดียวเอาอยู่ กับโหมด Portrait ปรับโบเก้สวยๆ กล้องหน้า TrueDepth สแกน Face ID และเล่น Animoji พร้อมทั้งชิป A12 Bionic ที่แรงเทียบเท่า iPhone XS และ iPhone XS Max รวมถึงHaptic Touch ทำงานยังไง แทน 3D Touch ได้หรือไม่ ดูวิดีโอ Full HD 1080p พร้อมลำโพงสเตอริโอ บันทึกวิดีโอ 4K และไมค์อีก 4 ตัว แบตเตอรี่ที่ว่ากันว่า “อึดกว่า iPhone XS Max” ใช้งานการปัดท่าทางที่ไร้ปุ่มโฮม และรองรับประสบการณ์เล่นเกมบน iPhone XR
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
Xiaomi Mi Note 10
ปิดท้ายตัวท็อปของมือถือจากจีน ที่ให้ความนิยมไม่แพ้กับยี่ห้ออื่นๆ กันซะหน่อยค่ะ สำหรับ Xiaomi Mi Mote 10 เป็นรุ่นระดับโลกของ Mi CC9 Pro ที่เปิดตัวในประเทศจีน ในขณะที่ Mi Note 10 Pro จะเป็นรุ่นสากลของ Mi CC9 Pro Premium Edition ซึ่งทั้ง 2 รุ่น จะมาพร้อมกับชิป Snapdragon 730G, หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.47 นิ้ว ความละเอียดแบบ Full HD+, รองรับสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอและกล้องหน้าให้ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล แต่ความแตกต่างระหว่างรุ่นปกติและรุ่น Pro นั้นอยู่ที่ RAM และ ROM
ส่วนกล้องหลัง โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล, กล้องตัวที่ 2 (เลนส์ Ultra Wide) ให้ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล, กล้องตัวที่ 3 (เลนส์ Telephoto) ให้ความละเอียด 5 ล้านพิเซล และเซ็นเซอร์ Depth ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รวมถึงยังมีเลนส์ที่สามารถถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ ที่ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
นับว่าเป็นมือถืออีกรุ่นที่ดีไซต์สวย ฟังก์ชั่นดีที่ต้องลองนะคะ เพราะสำหรับแบรนด์นี้เขาการันตีคุณภาพแทบจะเบียดกับแบรนด์ยี่ห้ออื่นๆ ที่ออกมาดังๆ ด้วยเช่นกันค่ะ
เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada
จบกันแล้วสำหรับการรีวิวสมาร์ทโฟนที่ดีปี 2019 ใครใคร่ซื้อยี่ห้อไหนก็ตามไปซื้อนะคะ ทางทีมงานหวังว่าจะเป็นประโยชน์ที่คัดสรรข้อมูลต่างๆ มาให้ประกอบการตัดสินใจให้ผู้ที่สนใจมือถือรุ่นใหม่ ได้ไปลองจับจองเป็นเจ้าของให้ไม่ตกยุคตกเทรนด์กันนะคะ