100 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเวียดนาม

100 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเวียดนาม

เวียดนาม เป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยๆ เยอะมากจริงๆ ค่ะ และด้วยภูมิประเทศที่ทอดตัวยาวลงมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทำให้มีความหลากหลายทางธรรมชาติ ที่บางทีอาจจะนึกไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดนี้อยู่ในประเทศเดียวกัน และนอกจากธรรมชาติแล้ว ยังมีสถาปัตยกรรมงดงามน่าชมมากมายอีกด้วยค่ะ

เดี๋ยวนี้เวียดนามกลายมาเป็นหนึ่งในที่เที่ยวที่กำลังฮ็อตฮิตสำหรับชาวไทย เพราะอยู่ไม่ไกล เดินทางไปง่าย มีที่เที่ยวให้เลือกหลายรูปแบบตามความชอบ street food ก็อร่อย และค่าใช้จ่ายยังไม่เกินงบอีกด้วยค่ะ เรียกว่ามีงบน้อยก็เที่ยวได้ กินหรูอยู่แบบราชาได้เลย ดีอย่างนี้มีหรือที่เราจะพลาด เลยอยากพามาชม 100 อันดับที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเวียดนาม ที่รับรองว่าต้องถูกใจทุกคนอย่างแน่นอน  มาเลือกเที่ยวได้ตามใจชอบเลยจ้าาาา

จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)

จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)

จัตุรัสโฮจิมินห์ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ จุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์ แนะนำให้มาเริ่มตรงใจกลางแห่งนี้ค่ะ เพราะสามารถไปยังจุดอื่น ๆ ได้ง่าย โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเด็ก ๆ ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมือง ซึ่งดูแปลกตาในสไตล์ฝรั่งเศส ถ้ามองจากตรงนี้สามารถมองให้เห็นถึงความจอแจของเมืองใหญ่ เพราะที่นี่นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของเมืองแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของการค้าอีกด้วยค่ะ คล้ายกับสีลมของเมืองไทย แต่รถไม่ติดเพราะที่เมืองนี้มีรถยนต์น้อย มีรถมอเตอร์ไซด์มากกว่าค่ะ เวลาข้ามถนนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะคะ มองซ้ายมองขวาให้ดีเชียว


อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi tunnels)

อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi tunnels)

อุโมงค์กู๋จี สมรภูมิรบยุคสงครามเวียดนาม ปัจจุบันคือสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวตะวันตกมาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังเป็นที่เที่ยวอันดับ 1 เมืองโฮจิมินห์ ตลอดกาลอีกด้วยค่ะ ความน่าสนใจของอุโมงค์กู๋จีที่ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก จนเป็นสถานที่เที่ยวอันดับ 1 ของเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 40 กิโลเมตร  โดยประวัติศาสตร์ในยุคสงครามเวียดนามเมื่อ 50 ที่แล้ว ชาวเวียดกงอาศัยอุโมงค์กู๋จี ที่มีความยาวถึง 250 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้ดินถึง 3 ชั้น ราวๆ 8 เมตร เป็นสมรภูมิรบแบบกองโจร ซึ่งเมืองใต้ดินแห่งนี้ มีทั้งโรงพยาบาท, ที่เก็บอาวุธ, ห้องประชุม, โรงครัว และมีทหารเวียดกงประจำการอยู่ที่นี้หลายหมื่นคน สุดท้ายอุโมงค์กู๋จียังเป็นสถานที่แห่งชัยชนะต่อทหารสหรัฐ จนถึงการรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวของประเทศเวียดนามในที่สุด


คาเฟ่อพาร์ทเม้นท์ (The Cafe Apartment)

คาเฟ่อพาร์ทเม้นท์ (The Cafe Apartment)

คาเฟ่อพาร์ทเม้นท์ เคยเป็นที่พักของทางรัฐบาลและทหารช่วงปี 1950 (ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2) ปัจจุบันถูกรีโนเวทให้กลายเป็น The Cafe Apartment ที่มีทั้งหมด 9 ชั้น ในแต่ละชั้นก็จะมีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ซึ่งแต่ละร้านก็จะตกแต่งด้วยสไตล์ที่แตกต่างกันไป เหมาะมากสำหรับการไปพักผ่อนนักจิบชา กาแฟ กินเค้ก หรือดื่มด่ำกับบรรยากาศชิคๆ สัมผัสกลิ่นอายวินเทจๆ ปนโมเดิร์น

หนุ่มสาวออฟฟิศที่อยากจะพักจากงานที่กองท่วมหัว หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน ก็สามารถบอกลาเจ้านายแล้วไปเซย์ไฮ The Cafe Apartment กันได้นะคะ แต่ถ้าไม่อยากจะหอบงานไปทำ แค่ต้องการพักผ่อนชิลล์ๆ ก็สามารถควงคุณแฟนไปเดทที่นี่ได้เหมือนกัน โดยที่นี่จะมีทั้งหมด 9 ชั้นด้วยกันค่ะ


ตลาดเบ๊นถั่ญ (Ben Thanh Market)

ตลาดเบ๊นถั่ญ (Ben Thanh Market)

ตลาดเบ๊นถั่ญ เป็นตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเขต 1 ใจกลางนครโฮจิมินห์ อาคารตลาดแห่งนี้เป็นหนึ่งในอาคารยุคแรกสุดที่ยังหลงเหลืออยู่จากสมัยไซ่ง่อนและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของนครโฮจิมินห์เลยค่ะ โดยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่มองหาสินค้าหัตถกรรม สิ่งทอ เครื่องประดับ ของที่ระลึก รวมทั้งอาหารในท้องถิ่น

ตลาดเบ๊นถั่ญพัฒนาขึ้นจากตลาดนอกระบบที่ผู้ขายข้างถนนมารวมตัวกันใกล้แม่น้ำไซ่ง่อนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในที่สุดฝรั่งเศสก็สร้างตลาดขึ้นอย่างเป็นทางการหลังเข้ายึดป้อมปราการซาดิ่ญ (Gia Định) ได้ในปี พ.ศ. 2402 ตลาดนี้ถูกอัคคีภัยทำลายเสียหายในปี พ.ศ. 2413 และสร้างใหม่จนกลายเป็นตลาดใหญ่ในไซ่ง่อน ในปี พ.ศ. 2455 ตลาดได้ย้ายมาอยู่ในอาคารแห่งใหม่และเรียกว่าตลาดเบ๊นถั่ญใหม่เพื่อแยกความแตกต่างกับตลาดเก่า อาคารหลังนี้ได้รับการบูรณะในปี พ.ศ. 2528


มหาวิหารนอร์เธอดาม (Notre Dame Cathedral)

มหาวิหารนอร์เธอดาม (Notre Dame Cathedral)

มหาวิหารนอร์เธอดาม โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามคือโบสถ์คาทอลิกเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี สร้างด้วยอิฐแดงในปี พ.ศ. 2420 ตามแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่สวยงามมากเลยค่ะ แต่เดิมเรียกโบสถ์แห่งนี้ว่าโบสถ์ไซ่ง่อน (Saigon Church) ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโฮจิมินห์ที่มีชื่อเสียง ตัวอาคารของมหาวิหารไม่มีการประดับกระจกสีเพราะได้รับความเสียหายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดเด่นของที่นี่คือมีหอคอยคู่ที่สูงดูเด่นเป็นสง่า ส่วนด้านหน้าวิหารมีรูปปั้นพระแม่มารีสีขาวที่ทำจากหินอ่อนตั้งอยู่ และที่นี่ยังคงมีการประกอบพิธีทางศาสนาทุกวันอาทิตย์ด้วยค่ะ


อาคารไปรษณีย์กลาง (Saigon Post Office)

อาคารไปรษณีย์กลาง (Saigon Post Office)

ตั้งอยู่ใกล้ๆ มหาวิหารนอร์เธอดาม เป็นอาคารไปรษณีย์เก่าแก่อายุร้อยกว่าปีเช่นกันค่ะ และถือได้ว่าเป็นศูนย์ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ตัวอาคารมีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศสที่มีความโออ่าและอ่อนช้อยสวยงาม ภายในมีการประดับกระจกสี ภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ ที่นี่ยังคงเปิดให้บริการส่งไปรษณีย์ตามปกติรวมไปถึงมีบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังมีแสตมป์ชุดสะสม โปสการ์ดและของที่ระลึกขายให้นักท่องเที่ยวด้วย


โรงละครโอเปร่า (Saigon Opera House)

โรงละครโอเปร่า (Saigon Opera House)

ถัดมาจากอาคารไปรษณีย์กลางไม่ไกลนักจะเป็นที่ตั้งของโรงละครเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อนค่ะ มีความสวยงามแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส โรงละครแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรงละครแห่งเมืองโฮจิมินห์ (Municipal Theatre of Ho Chi Minh City) ปัจจุบันยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับชมการแสดงและคอนเสิร์ตต่าง ๆ ที่นี่จะมีลานน้ำพุที่เป็นจุดพักผ่อนสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยว และยังจุดถ่ายรูปโรงละครที่สวยงามอีกด้วยค่ะ


ศาลากลางโฮจิมินห์ (Ho Ci Minh City Hall)

ศาลากลางโฮจิมินห์ (Ho Ci Minh City Hall)

อยู่ใกล้โรงละครโอเปร่า เป็นตึกสีเหลืองครีมสวยงามตามสไตล์โคโลเนียลฝรั่งเศสค่ะ ด้านหน้ามีอนุสาวรีย์รูปปั้นอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ที่คนชอบไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกมากมายเลยค่ะ ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญและเป็นย่านการค้าการท่องเที่ยวของเมืองเพราะมีศูนย์การค้า ร้านค้าแบรนด์เนมและโรงแรมหรู ๆ อยู่รอบ ๆ เลยค่ะ เช่น วินคอมเซ็นเตอร์ (Vincom Center) ยูเนี่ยนสแควร์ (Union Square) ไซ่ง่อนสแควร์ (Saigon Square) ไซ่ง่อนเซ็นเตอร์ (Saigon Center) ลัคกี้พลาซ่า (Lucky Plaza)


ทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace)

ทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace)

เรียกอีกชื่อว่าทำเนียบการรวมชาติ (Reunification Palace) แต่เดิมเป็นทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ ซึ่งปัจจุบันได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นอนุสรณ์ในสมัยสงคราม ภายในมีการจัดแสดงห้องทำงาน ห้องรับรองต่าง ๆ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้สำนักงานและอุปกรณ์การสื่อสารในสมัยสงคราม ที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ทำเนียบแห่งนี้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์การรวมชาติของเวียดนามมากทีเดียวค่ะ เพราะเป็นจุดสุดท้ายของการยุติสงครามเวียดนามเหนือ-ใต้เมื่อรถถังของฝ่ายเวียดนามเหนือบุกเข้ามาในทำเนียบแห่งนี้ และโค่นอำนาจของรัฐบาลเวียดนามใต้ได้สำเร็จ


พิพิธภัณฑ์สงคราม (War Remnants Museum)

พิพิธภัณฑ์สงคราม (War Remnants Museum)

อยู่ด้านข้างใกล้ ๆ ทำเนียบอิสรภาพ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เน้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสงครามเวียดนามโดยเฉพาะ มีการจัดแสดงอาวุธที่ใช้ในสมัยสงครามที่มีทั้งปืน กระสุน ระเบิด รถถัง เครื่องบิน เครื่องจองจำ เครื่องทรมาน เครื่องประหาร และคุกจำลอง แต่ไฮไลท์ของที่นี่คือภาพถ่ายแสดงเรื่องราวของสภาวะสงครามในสมัยนั้น ซึ่งแต่ละภาพล้วนสื่อให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามรวมไปถึงสะท้อนให้เห็นความโศกเศร้าทรมานและความหดหู่ของผู้รับเคราะห์ได้อย่างถึงอารมณ์ มีหลายๆ ภาพเป็นภาพในตำนานที่โด่งดังมีคนรู้จักไปทั่วโลก


โรงละครหุ่นกระบอกน้ำมังกรทอง (The Golden Dragon Water Puppet)

โรงละครหุ่นกระบอกน้ำมังกรทอง (The Golden Dragon Water Puppet)

ถ้ามาเที่ยวเวียดนามแล้วไม่ได้มาดูการแสดงหุ่นกระบอกน้ำต้องบอกว่าคุณมาไม่ถึงเวียดนามค่ะ เพราะการแสดงหุ่นกระบอกน้ำถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศเวียดนามที่ว่ากันว่ามีกำเนิดมาจากหมู่บ้านในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำของเวียดนามทางตอนเหนือเมื่อเกือบพันปีที่แล้ว การแสดงหุ่นกระบอกน้ำจะแสดงในเวทีสระน้ำเล็ก ๆ ที่ลึกประมาณเอวโดยมีผู้บังคับหุ่นกระบอกแอบอยู่ด้านหลังฉาก เมื่อมาถึงโฮจิมินห์แล้วต้องมาดูหุ่นกระบอกน้ำน่ารัก ๆ เรื่องราวสนุก ๆ ที่มีเทคนิคการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจประกอบดนตรีพื้นเมืองเวียดนามแบบเล่นกันสด ๆ นอกจากนี้โรงละครหุ่นกระบอกน้ำมังกรทองตั้งอยู่แค่ด้านหลังของทำเนียบอิสรภาพ แพลนมาเที่ยวที่นั่นแล้วตกค่ำก็มาชมละครหุ่นได้เลยค่ะ


วัดกาวได๋ (Cao Dai Temple)

วัดกาวได๋ (Cao Dai Temple)

วัดกาวได๋ หรือที่เรียกว่าวัดสันตะศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ที่เมืองเตยนินห์ (Tay Ninh Holy See Temple) ห่างจากอุโมงค์กู๋จีขึ้นไปทางเหนือประมาณ 60 กว่ากิโลเมตรค่ะ เป็นวัดของลัทธิกาวได๋ที่มีการรวมความเชื่อทางศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อ และศาสนาคริสต์เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีสัญลักษณ์ทางศาสนาคือพระเนตรซ้ายของพระผู้เป็นเจ้า (The Left Eye of God) จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมทางศาสนาต่างๆ เกิดเป็นผลงานศิลปะที่มีความเป็นเอกลักษณ์สวยงามแปลกตามากเลยค่ะ ห้ามพลาดที่มาชมเลยค่ะ


พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (History Museum)

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (History Museum)

ตั้งอยู่ใกล้กับ สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ สร้างโดยฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2470 เป็นตึกทรงยุโรปที่งดงามมากอีกแห่งหนึ่ง ชาวเวียตนามเรียกตึกนี้ว่า เวียนบ่าวตางหลิกสือ (Vien Bao Tang Lich Su) ที่นี่มีโบราณวัตถุที่แสดงถึงวิวัฒนาการของวัฒนธรรมต่างๆ ในเวียตนาม ตั้งแต่อารยธรรมยุคสำริดดงเซิน ไปจนถึงอารยธรรมฟูนัน จาม และเขมร ในบรรดาสิ่งที่จัดแสดงไว้มีโบราณวัตถุยุคหิน สำริด ศิลาจารึก กลองมโหระทึก เครื่องปั้นดินเผางานศิลปะของชาวจาม และเครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ บนชั้นสามทางด้านหลังของอาคารมีห้องสมุดวิจัยที่เก็บรวบรวมหนังสือจากยุคฝรั่งเศสที่น่าสนใจไว้เป็นจำนวนมาก


พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (History Museum)

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ (History Museum)

ตั้งอยู่ใกล้กับ สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ สร้างโดยฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2470 เป็นตึกทรงยุโรปที่งดงามมากอีกแห่งหนึ่ง ชาวเวียตนามเรียกตึกนี้ว่า เวียนบ่าวตางหลิกสือ (Vien Bao Tang Lich Su) ที่นี่มีโบราณวัตถุที่แสดงถึงวิวัฒนาการของวัฒนธรรมต่างๆ ในเวียตนาม ตั้งแต่อารยธรรมยุคสำริดดงเซิน ไปจนถึงอารยธรรมฟูนัน จาม และเขมร ในบรรดาสิ่งที่จัดแสดงไว้มีโบราณวัตถุยุคหิน สำริด ศิลาจารึก กลองมโหระทึก เครื่องปั้นดินเผางานศิลปะของชาวจาม และเครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ บนชั้นสามทางด้านหลังของอาคารมีห้องสมุดวิจัยที่เก็บรวบรวมหนังสือจากยุคฝรั่งเศสที่น่าสนใจไว้เป็นจำนวนมาก


ทำเนียบประธานาธิบดี (Reunification Palace)

ทำเนียบประธานาธิบดี (Reunification Palace)

ทำเนียบประธานาธิบดี ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดี ปัจจุบันเรียกกันว่าทองยัด และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยค่ะ อาคารทันสมัยหลังใหญ่นี้รายรอบด้วยสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นทำเนียบของผู้ว่าการชาวฝรั่งเศสที่เรียกว่า ทำเนียบนโรดม (Norodom Palace) ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ. 2411 หลังจากที่ข้อตกลงเจนีวานำจุดจบมาสู่การยึดครองของฝรั่งเศส โงดินห์เดียม ประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ได้พำนักอยู่ในทำเนียบแห่งนี้ค่ะ


วัดเทียนเฮา (Thien Hau Temple)

วัดเทียนเฮา (Thien Hau Temple)

ความสำคัญของวัดเทียนเฮาหรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า“วัดเจ้าแม่สวรรค์”นั้น เปรียบได้กับศาลเจ้าแม่ทับทิมในบ้านเราเลยค่ะ คือเป็นวัดที่ชาวประมงและผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับทะเลให้ความนับถือมาก เมื่อเดินเข้าไปในวัดเทียนเฮา บรรยากาศในนั้นจะดูขรึมขลังไปด้วยควันธูปเปลวเทียน โดยเฉพาะธูปแบบเป็นขดวงกลมที่แขวนห้อยบนเพดานนั้นนอกจากจะดูเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธาแล้ว ยังดูสวยงามน่ายลเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากบรรยากาศแห่งความศรัทธาที่มีคนเดินทางเข้ามาบนบานศาลกล่าวกันอย่างต่อเนื่องแล้ว วัดเทียนเฮา ยังโดดเด่นไปด้วยรูปเคารพเจ้าแม่ทับทิมและรูปเคารพเทวรูปอื่น ๆ อีกหลายองค์ ส่วนหากใครแหงนหน้ามองไปยังเบื้องบนก็จะเห็นลวดลายประดับกระเบื้อง ทั้งรูปเทพเจ้า นักรบ ปีศาจฯลฯ ที่งดงามน่ายลไปด้วยศิลปะแบบจีนอันเป็นเอกลักษณ์


ไชน่าทาวน์ โฮจิมินห์ (China Town Ho Chi Minh)

ไชน่าทาวน์ โฮจิมินห์ (China Town Ho Chi Minh)

ย่านชุมชนเก่าแก่ของชาวจีนที่ยังคงมีบ้านเรือนและส่งปลูกสร้างสวยๆ ในสมัยยุคอาณานิคมฝรั่งเศส มีร้านขายยาสมุนไพร อาหารแห้ง ผลไม้แห้ง และขนมมากมาย


ดานัง (Danang)

ดานัง (Danang)

ดานัง อดีตหมู่บ้านชาวประมง และเมืองท่าสำคัญ ที่นี่มีความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุดของเวียดนามกลาง เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หาดทรายขาวที่ขึ้นชื่อ และวิวที่สวยงามของภูเขาหินอ่อน นี่เองที่ทำให้ดานังดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก


ภูเขาหินอ่อน (MARBLE MOUNTAINS)

ภูเขาหินอ่อน (MARBLE MOUNTAINS)

ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองดานัง ประกอบด้วยเนินเขาน้อยใหญ่ 5 ลูกชาวเวียดนามจึงเรียกภูเขาหินอ่อนนี้ว่า ภูเขาแห่ง ธาตุทั้งห้า ในอดีตภูเขาเหล่านี้เคยเป็นกลุ่มของเกาะนอกชายฝั่ง 5 เกาะแต่เนื่องมาจากการตกตะกอนปีแล้วปีเล่าทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่

ภายในภูเขามีแท่นบูชาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าองค์อื่นๆตามความเชื่อของชาวบ้านที่ อาศัยอยู่ในแถบนั้น ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ถุ่ยเซิน ซึ่งในอดีตชาวเมืองจามเคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาปัจจุบัน ถ้ำแห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ศาสนาอยู่เช่นเดิม


บาน่า ฮิลล์ (BaNa Hill)

บาน่า ฮิลล์ (BaNa Hill)

บาน่า ฮิลล์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักของนักล่าอาณานิคมชาวฝรั่งเศสค่ะ แต่ขณะนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นโรงแรม และรีสอร์ท คอมเพล็กซ์ เดินทางมาที่นี่ได้โดยขึ้นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุด และสูงที่สุดในโลก สามารถมองเห็นผืนป่า น้ำตกและลำธารต่างๆ ที่สำคัญยังมีที่เที่ยวใหม่ล่าสุด นั่นคือสะพาน Golden Bridge ที่มีอุ้งมือยักษ์โอบอุ้มสะพานไม้ที่โค้งตามแนวเขาเอาไว้


พิพิธภัณฑ์รูปปั้นงานศิลปะของอาณาจักรจามปา(Museum of Charm Sculpture)

พิพิธภัณฑ์รูปปั้นงานศิลปะของอาณาจักรจามปา(Museum of Charm Sculpture)

ตั้งอยู่ตรงวงเวียนใหญ่ ใกล้กับแม่น้ำหานซึ่งเป็นแม่น้ำสำคัญของดานังมากเลยค่ะ เพราะเป็นที่ตั้งของสะพานมังกรทอง (Dragon Bridge) อีกไฮไลท์ที่ดึงดูดชาวเวียดนามจากทั่วประเทศ เข้ามาที่ดานัง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีขนาดกระทัดรัด ภายในแบ่งเป็นห้องหับที่เปิดโปร่ง ปล่อยให้สายลมเย็นเอื่อยเทเข้ามาเป็นระยะ ๆ งานศิลปะส่วนใหญ่ทำจากหินทราย แกะสลักขึ้นตามความเชื่อของชาวจามปาในอดีต ซึ่งใกล้เคียงกับศาสนาฮินดู โดยมีพระศิวะ พระพิษณุ และ Linga and Yoni ซึ่งก็คือสัญลักษณ์เพศของชายและหญิง เป็นความเชื่อหลัก งานศิลปะที่นี่มีจำนวนหลายพันชิ้น จึงกลายเป็นศูนย์รวมอดีตของอาณาจักรจามปาขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเลยล่ะค่ะ


เจ้าแม่กวนอิม (Lady Buddha)

เจ้าแม่กวนอิม (Lady Buddha)

ตั้งอยู่ตรงวงเวียนใหญ่ ใกล้กับแม่น้ำหานซึ่งเป็นแม่น้ำสำคัญของดานังมากเลยค่ะ เพราะเป็นที่ตั้งของสะพานมังกรทอง (Dragon Bridge) อีกไฮไลท์ที่ดึงดูดชาวเวียดนามจากทั่วประเทศ เข้ามาที่ดานัง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีขนาดกระทัดรัด ภายในแบ่งเป็นห้องหับที่เปิดโปร่ง ปล่อยให้สายลมเย็นเอื่อยเทเข้ามาเป็นระยะ ๆ งานศิลปะส่วนใหญ่ทำจากหินทราย แกะสลักขึ้นตามความเชื่อของชาวจามปาในอดีต ซึ่งใกล้เคียงกับศาสนาฮินดู โดยมีพระศิวะ พระพิษณุ และ Linga and Yoni ซึ่งก็คือสัญลักษณ์เพศของชายและหญิง เป็นความเชื่อหลัก งานศิลปะที่นี่มีจำนวนหลายพันชิ้น จึงกลายเป็นศูนย์รวมอดีตของอาณาจักรจามปาขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเลยล่ะค่ะ


ไชน่า บีช (China Beach)

ไชน่า บีช (China Beach)

ไชน่า บีช ในอดีตเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ (R&R หรือ Rest & Recreation) ของทหารอเมริกัน โค้งหาดที่ ยาวเหยียดหลายกิโลเมตรนี่ ถูกแบ่งออกเป็นหาดต่าง ๆ ในเวิ้งน้ำเดียวกัน ตรงกลางของหาดยาว เป็นที่ตั้งของหาดหมีเคว (My Khy Beach) ซึ่งในวันนี้มีชาวเวียดนามหลายร้อยคน วิ่งลงไปเล่นน้ำทะเลกันสนุกสนาน กิจกรรมทางน้ำก็มีทั้งบานานาโบ็ต และเรือเร็ว รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะกระหึ่มไปทั่วหาดเลยค่ะ


แม่น้ำหานและสะพานมังกร (Han River & Dragon Bridge)

แม่น้ำหานและสะพานมังกร (Han River & Dragon Bridge)

แม่น้ำหานมีความกว้างใกล้เคียงกับแม่น้ำเจ้าพระยา สีสันดูสะอาดกว่า กลิ่นตุ ๆ มีบ้างตรงใจกลางเมือง ที่ชาวบ้าน ปล่อยของเสียลงในน้ำ  ต้นน้ำอยู่ในเขตกวางหนามส่วนปลายน้ำอยู่ที่ทะเลจีนใต้ ตอนกลางคืนที่มืดสนิท แม่น้ำสายนี้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเริงร่าด้วยแสงไฟของสะพานข้ามแม่น้ำหานทั้ง 3 สาย โดยเฉพาะสะพานมังกรทอง สะพานที่ยาว 666 เมตร สร้างตามสัตว์มงคลของชาวจีน ซึ่งจะเปล่งแสงและรัศมีแห่งความสุข พร้อมกับพ่นไฟและน้ำ ในทุกคืนของวันศุกร์และเสาร์ตอนเวลาสามทุ่ม ใครที่อยากไปชมการแสดงของเจ้ามังกรทองตัวนี้ ต้องเตรียมใจ รับมือกับกระแสผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเหมือนชมคอนเสริต์ฟรีของจัสติน บีเบอร์ ซึ่งถ้าคุณมั่นใจในความแกร่งของตัวเอง ก็ลุยเข้าไปชมได้เลยค่ะ


อนุเสาวรีย์คาร์ฟดราก้อน (Ca Chep Hoa Rong)

อนุเสาวรีย์คาร์ฟดราก้อน (Ca Chep Hoa Rong)

เจ้าสัตว์ตัวเป็นปลาหัวเป็นมังกรนี้ น่าจะมีตัวตนอยู่ในนิยายปรัมปราของเวียดนามมานานแล้ว เพราะเมื่อค้นหาชื่อ Ca Chep Hoa Rong ซึ่งขอเรียกสั้น ๆ ว่า คาร์ฟดราก้อน ก็จะมีภาพเขียนอยู่มากมาย และที่ริมทางเดินเลียบแม่น้ำหาน ตรงตีนสะพานมังกรทองนี้ ก็จะได้พบกับสัตว์ในตำนานตัวเป็น ๆ มีสายน้ำแห่งชีวิตพุ่งออกมาจากปากของคาร์ฟดราก้อน อนุเสาวรีย์ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของดานังค่ะ


อ่าวดานัง (Danang Bay)

อ่าวดานัง (Danang Bay)

ห่างออกมาจากตัวเมืองดานังขึ้นมาทางทิศเหนือราว 15 กิโลเมตร คุณจะได้พบกับชายหาดที่ทอดยาวขนานไปกับทิวเขาสลับซับซ้อน หรือที่ชาวเวียดนามเรียกกันว่า อ่าวดานัง แม้ว่าที่นี่จะไม่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของหาดทรายที่ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าครามเหมือนชายหาดขึ้นชื่ออย่างนอนเนื้อก แต่สิ่งที่คุณจะได้พบเห็นคือวิถีชีวิตชาวบ้านที่ใช้เรือกระจาดออกหาปลา เรือที่ทำจากไม้ไผ่สานทั้งลำชันด้วยยา พาหนะล่องลอยเหนือผืนน้ำที่หาดูได้จากที่นี่เพียงแห่งเดียว

ลักษณะของอ่าวดานังเป็นหาดทารยสีน้ำตาลเข้ม เต็มไปด้วยเรือกระจาดที่จอดเรียงรายอยู่ริมชายฝั่ง ตลอดจนเรือที่ออกหาปลาอยู่กลางทะเลทำให้ที่นี่เหมาะแก่การมาเดินเล่นชมวิวทิวทัศน์มากกว่าจะลงเล่นน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งโรงแรมและร้านอาหารก็ยังมีไม่มากนัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงนั่งรถมาเพื่อชมวิวเพลินๆ จากนั้นก็จะกลับไปพักในตัวเมือง


ภูเขาไฮเวิน  (Han Van Mountain)

ภูเขาไฮเวิน  (Han Van Mountain)

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เป็นยอดเขาที่ทุกคนซึ่งมุ่งหน้าไปเว้จะต้องผ่าน มีความหมายว่าภูเขาแห่งเมฆหมอก และเพื่อให้เราเห็นเวียดนามทั้งสองด้าน ขาไปให้เลือกเส้นขับรถลัดเลาะบนภูเขาเขา ซึ่งใช้เวลามากกว่าขับรถลอดอุโมงค์ แต่รางวัลที่ได้เป็นวิวสวยติดตาของอ่าวดานังค่ะ แล้วขากลับจากเว้ ค่อยเลือกเส้นทางลัด ขับรถเข้าอุโมงค์ไฮเวิน ซึ่งประหยัดเวลาการเดินทางจากเว้สู่ดานังไปได้ถึง 20-30 นาที

อุโมงค์ไฮเวินมีความยาว 6.3 กิโลเมตร ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อสร้างโดยเอกชนชาวญี่ปุ่น โดยผู้ร่วมทุน งบประมาณเป็นรัฐบาลฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นหนึ่งในอุโมงค์สำคัญของเวียดนามที่ชาวดานังภูมิใจกันหนักหนา


สะพานลอยฟ้าโกลเด้น (Hands of God)

สะพานลอยฟ้าโกลเด้น (Hands of God)

เป็นที่เที่ยวดานังที่เพิ่งเปิดให้เราได้เข้าชมเมื่อเดือนมิถุนายนนี้เอง แต่ชื่อเสียงของมันกลับดังกระฉ่อนไปไกลทั่วโลกเลยค่ะ เพราะมีลักษณะแปลกตา ชนิดที่ว่าไม่เหมือนที่ไหนในโลก ตัวสะพานมีสีเหลืองทองอร่าม พร้อมด้วยรูปปั้นมือยักษ์คล้ายกับยกชูสะพานไว้ เป็นสถาปัตยกรรมโดดเด่นที่ถูกเนรมิตขึ้นมาริมหน้าผาบนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,400 เมตร

สะพานโกลเด้นแห่งนี้จัดว่าเป็นสะพานลอยฟ้าริมผาที่สวยที่สุดในโลก จะถ่ายรูปเซลฟีมุมไหนก็สวยไปหมดเลยค่ะ เพราะมองเห็นวิวได้ 360 องศาเลย ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสได้ขึ้นมาบนบาน่าฮิลส์แล้ว ก็ไม่ควรพลาดแวะไปที่สะพานลอยฟ้าโกลเด้นนะคะ รับรองว่าสวยอลังสุด ๆ ไปเลยค่ะ


วัดหลินอึ๋ง (Linh Ung Temple)

วัดหลินอึ๋ง (Linh Ung Temple)

รูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมสีขาวขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่า 67 เมตร ยืนเด่นเป็นสง่าหันหลังให้ภูเขาและหันหน้าออกสู่ทะเลนั้น เป็นศาสนสถานที่เรียกได้ว่าสวยที่สุดในดานังก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งคงเพราะรูปปั้นแห่งนี้ตั้งอยู่ในวัดหลินอึ๋ง (Linh Ung Temple) บนเกาะเซินตร่าทางเหนือของดานัง สามารถมองเห็นวิวทะเลและวิวภูเขาได้ในคราวเดียวกันค่ะ

เมื่อขึ้นมาข้างบนเราจะได้รับลมเย็นๆพร้อมสัมผัสบรรยากาศสงบของวัด และเหตุที่เจ้าแม่กวนอิมหันหน้าออกสู่ทะเลนั้นก็มีความเชื่อว่าเพื่อคุ้มครองชาวประมงที่ออกไปหาปลานั่นเอง นอกจากนี้ เจ้าแม่กวนอิมที่นี่ยังขึ้นชื่อในเรื่องของการขอพรเกี่ยวกับสุขภาพ การทำมาค้าขาย รวมถึงขอลูกด้วย รู้พิกัดแล้ว อย่าลืมตามไปขอพรกันนะคะ


หาดหมีเคว (My Khe Beach)

หาดหมีเคว (My Khe Beach)

ดานัง ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่าติดทะเล ดังนั้น 1 ในที่เที่ยวยอดฮิตคงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก หาดหมีเคว (My Khe Beach) ซึ่งเป็นหาดที่สวยปังที่สุดของดานังก็ว่าได้ หาดหมีเควมีแนวชายหาดกว้างขวาง และมีความยาวถึง 10 กิโลเมตร ทรายที่นี่ขาวละเอียดมากเลยค่ะ เดินแล้วนุ่มเท้ามาก ๆ มีแนวเก้าอี้ชายหาดที่หลังคามุงด้วยจากตั้งเรียงราย สามารถนอนเอนและมองดูน้ำทะเลสีฟ้าอมเขียวได้แบบเพลิน ๆ ทั้งวันเลยค่ะ

โดยหาดหมีเควมีชื่อมากในช่วงสงครามเวียดนามเพราะทหารอเมริกันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และภายหลังสงครามสิ้นสุด ก็เรียกแทนว่า หาดไชน่า (China Beach) เราสามารถเดินทางไปเที่ยวหาดหมีเควได้ง่าย ๆ เพราะว่าอยู่ห่างจากตัวเมืองดานังเพียง 6 กิโลเมตร จะนั่งแท็กซี่หรือรถประจำทางไปก็ได้เลย เพราะมีป้ายรถเมล์แถวชายหาดหลายจุด เดินไปต่ออีกนิดก็ถึงแล้ว


Fatfish Restaurant & Lounge Bar

Fatfish Restaurant & Lounge Bar

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ถนน Tran Hung Dao เรียบแม่น้ำ Han เลยค่ะ ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวดัง สะพานมังกร โดยร้านนี้จะอยู่ในรูปแบบ Bar & Restaurant สำหรับใครที่อยากเที่ยววันหยุด และยิ่งถ้าหากชื่นชอบ Craft Beer แล้วไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง อาหารภายในร้านจะเป็นรูปแบบของอาหารฟิวชั่นระหว่างเอเชียและเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งความสดของวัตถุดิบนั้นถือว่าดีเยี่ยม


Lam Vien Restaurant

Lam Vien Restaurant

บอกได้เลยว่า ถ้ามาเที่ยวดานังแล้ว ต้องมาร้านนี้ ที่นี่เป็นร้านอาหารเวียดนามพื้นเมืองที่ได้รับคำชมทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวกันอย่างล้นหลาม ตั้งอยู่ที่ถนน Tran Van du โดยที่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงร้านอาหารธรรมดาเท่านั้น ลูกค้ายังสามารถขอจัดงานเลี้ยง ซึ่งจุได้ถึง 400 คน และมีบรรยากาศภายใน เป็นบ้านไม้อยู่ท่ามกลางสวน ให้ความโรแมนติกเหมือนไม่ได้อยู่ในเมืองเลย

อาหารของที่นี่ นอกจากจะมีอาหารพื้นบ้านแล้ว ยังมีเมนูเตาย่างถ่านหิน ที่พร้อมย่างทั้งเนื้อ ซีฟู้ด และอาหารป่า ไว้ค่อยให้บริการลูกค้าอีกด้วยนะคะ


Den Long Lantern

Den Long Lantern

อีกหนึ่งร้านอาหารเวียดนามที่ขึ้นชื่อค่ะ ตั้งอยู่ที่ถนน Ly Thuong Kiet เป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนนั่งทานข้าวอยู่ที่บ้าน พ่อครัวที่นี่จะเชี่ยวชาญอาหารเวียดนามและอาหารจีน โดยเฉพาะจานผัด ซึ่งผัดออกมาได้ไม่เลี่ยน ไม่มันเยิ้ม นอกจากนี้ ทุก ๆ วัน เสาร์และอาทิตย์ ช่วงเที่ยงถึงบ่ายสามโมง จะมีการสอนทำอาหารอีกด้วย แต่ต้องโทรเข้าไปจองที่กับทางร้านก่อนนะคะ


The Rachel Restaurant & Bar

The Rachel Restaurant & Bar

อีกหนึ่งร้านอาหารที่ผู้มาเที่ยวดานังให้การตอบรับเป็นอย่างดีค่ะ ภายนอกอาจจะดูเหมือนบาร์เล็กๆ ทั่วไป แต่ข้างในจัดพื้นที่ได้อย่างลงตัว ที่นั่งไม่เบียดกันเลย ที่สำคัญร้านอยู่เรียบแม่น้ำ Han เหมาะกับการนั่งสังสรรค์ตอนกลางคืนกับเพื่อน ๆ มากเลยค่ะ

ทางร้านมีบริการอาหารเวียดนามและอาหารนานาชาติ หรือถ้าใครที่ชอบซาซิมิ บอกเลยว่าปลาที่นี่สดมากจริง ๆ ห้ามพลาดค่ะ


Thung Phi BBQ

Thung Phi BBQ

ร้านบาร์บีคิวที่ผสมเวียดนามกับเกาหลีไว้ด้วยกัน แม้ว่าร้านจะดูไม่ใหญ่มาก แต่รสชาติการันตีได้เลยว่าดีเยี่ยมเลยค่ะ บรรยากาศในร้านเป็นกันเอง เหมาะกับการมานั่งเล่นกับเพื่อน นั่งชิวๆ ปิ้งของกินด้วยกัน ซึ่งนอกจากบาร์บีคิวแล้ว ยังมีของกินเล่นให้สั่งได้อีกเพียบค่ะ โดยแนะนำให้สั่ง Banana flower salad มากินเล่นรอเวลาปิ้งเนื้อ แล้วจะรู้เลยว่า หัวปลี ไม่ได้มีไว้แค่กินคู่กับผัดไทยอย่างเดียวนะคะ


หาดบาคหมีอ่าน(Bac My An Beach)

หาดบาคหมีอ่าน(Bac My An Beach)

หาดบาคหมีอ่าน อาจไม่ได้อยู่ในลิสต์จุดหมายปลายทางที่ต้องไปของคุณ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร! เพราะนักท่องเที่ยวหลายคนยังไม่นิยมเดินทางมาที่นี่ แต่เราขอแนะนำให้คุณไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง หาดบาคหมีอ่าน มีเสน่ห์สำหรับนักท่องเที่ยว และมีตัวเลือกโรงแรมที่ดีมากมายหลากหลายมากเลยค่ะ


Pullman Danang Beach Resort

Pullman Danang Beach Resort

คือโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวแห่งเดียวบนชายหาดบาคหมีอ่านที่ได้ชื่อว่าสวยติดอันดับต้นๆในทวีปเอเชียเลยค่ะ ที่นี่มีห้องพัก 187 ห้อง ตกแต่งเป็นสไตล์โอเรียนทัล เน้นความโปร่ง โล่ง และเปิดรับลมทะเลเย็นสบาย พร้อมด้วยห้องอาหารและบาร์ที่การันตีคุณภาพความอร่อยและความสนุกสนาน

การได้พักใน Pullman Danang Beach Resort  จะสร้างสีสันให้กับทริปท่องเที่ยวของคุณ เพราะที่นี่มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น การอาบแดด เล่นนํ้าทะเล เล่นเซิร์ฟ เล่นโยคะ ดำน้ำ ปั่นจักรยาน ปีนเขา และ ว่ายนํ้าในสระ หรือใครสนใจออกไปเที่ยว โรงแรมแห่งนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากที่เที่ยวชื่อดังของเวียดนามหลายที่เลยค่ะ


Mercure Danang French Village Bana Hills

Mercure Danang French Village Bana Hills

เป็นโรงแรมแห่งแรกในเครือแอคคอร์โฮเทลที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาบาน่าฮิลล์ สถานที่เที่ยวยอดนิยมของเมืองดานังที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,480 เมตร บรรยากาศของที่นี่จึงสวยงามเหมือนในนิยาย เลยค่ะ เพราะอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ของบาน่าฮิลล์ โดยตัวโรงแรมออกแบบมาเป็นสถาปัตยกรรมทรงยุโรป ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากหมู่บ้านของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 นอกจากนี้ Mercure Danang French Village Bana Hills ยังมีพื้นที่กว้างขวาง มีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารและบาร์ของโรงแรม คอยให้บริการแขกกว่า 494 ร้าน รวมถึงมีกิจกรรมอีกหลายอย่างไว้คอยบริการทั้ง ห้องออกกำลังกาย สปา และสระว่ายน้ำในร่มที่เปิดให้ใช้บริการได้ตลอดสี่ฤดู


Muong Thanh Grand Da Nang Hotel

Muong Thanh Grand Da Nang Hotel

โรงแรมขนาดใหญ่ระดับ 4 ดาว ที่มีทำเลอันยอดเยี่ยมเพราะอยู่ใกล้กับ หาดหมีเคว ชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองดานังมากชนิดสามารถเดินข้ามถนนไปถึง ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นเองค่ะ ดังนั้นวิวจากห้องพักที่นี่ส่วนใหญ่จึงสามารถมองเห็นทะเลได้ น่าไปพักมากเลยนะคะ

รงแรม Muong Thanh Grand Da Nang Hotel เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง อาทิ รถรับส่งจากสนามบิน ฟิตเนส สระว่ายน้ำในร่ม สปา ห้องคาราโอเกะ ห้องอาหารนานาชาติ และบาร์บนดาดฟ้า ขณะเดียวกันที่นี่ยังมีความสะดวกในการเดินทาง เนื่องจากอยู่ใกล้สนามบินดานังนิดเดียวเองค่ะ


Novotel Danang Premier Han River

Novotel Danang Premier Han River

เปลี่ยนบรรยากาศมาที่โรงแรมวิวแม่นํ้ากันบ้างค่ะกับ Novotel Danang Premier Han River โรงแรม 5 ดาว ที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำหาน มีความสูง 37 ชั้น ทุกห้องสามารถมองเห็นทัศนียภาพสวยๆของแม่น้ำหาน รวมถึงสะพานมังกรที่มีความยาว 666 เมตร ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองดานังกับเมืองอื่นๆ อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตกดิน วิวสวยสุด ๆ ไปเลยค่ะ Novotel Danang Premier Han River เป็นโรงแรมหรูใจกลางเมืองที่ได้รับการยกย่องว่าทำเลดีที่สุดในดานัง ห่างสนามบิน 2 กิโลเมตร และห่างจากสถานีรถไฟ 1 กิโลเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ฟิตเนส สปา ร้านอาหาร และบาร์ ที่พร้อมต้อนรับคุณตลอดวันด้วยบริการอันน่าประทับใจจากพนักงาน


Hyatt Regency Danang Resort and Spa

Hyatt Regency Danang Resort and Spa

รีสอร์ท 5 ดาวที่อยู่ติดชายฝั่งอันงดงามของเมืองดานัง มีพื้นที่ชายหาดส่วนตัว คุณสามารถเดินจากที่พักลงไปเล่นนํ้าทะเลได้เลยค่ะ ตัวรีสอร์ทตกแต่งอย่างหรูหรา แต่มีความเป็นธรรมชาติด้วยโทนสีขาวกับนํ้าตาล ที่สำคัญคือมีบรรยากาศเงียบสงบและโรแมนติกมากเลยค่ะ เหมาะกับคู่รักที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกัน Hyatt Regency Danang Resort and Spa ยังมี สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ บริการสปา ห้องอาหารนานาชาติ และบาร์ ซึ่งนอกจากกิจกรรมทางทะเลแล้ว ที่นี่ยังอยู่ใกล้กับ หาดนอนเนื้อก ชายหาดชื่อดังของประเทศเวียดนาม , หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีอาชีพแกะสลักหินกันทั้งหมู่บ้าน ทำกันมานานราว 300-400 ปี  และ สะพาน Tran Thi Ly  สะพานขนาดยาวที่ตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟสวยงามตระการตา


ฮานอย(Hanoy)

ฮานอย(Hanoy)

ฮานอย เคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของเวียดนามมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1553 ซึ่งเป็นปีที่จักรพรรดิลีไทโด ทรงสถาปนาพระราชวังทังลองขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้ ตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเมืองอีกหลายครั้งค่ะ จนกระทั่งจักรพรรดิตือดึ๊ก ทรงพระนามว่าฮานอย ซึ่งแปลว่า เมืองบนฝั่งโค้งแม่น้ำ

ฮานอย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน งดงามด้วยตึกโบราณสไตล์โคโลเนียล มีทะเลสาบใจกลางกรุงฮานอย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งกำเนิดตำนานอันเลื่องชื่อ ที่กล่าวถึงเต่าสีทองซึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ผืนน้ำของทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม เพื่อถวายดาบวิเศษแด่พระราชาสำหรับขับไล่ศัตรูผู้รุกราน ตลอดจนการแสดงหุ่นกระบอกน้ำที่หาชาติใดเสมอเหมือน ศิลปะอันโดเด่นของเวียดนามที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาชม


วิหารวรรณกรรมวันเหมียว (Van mieu)

วิหารวรรณกรรมวันเหมียว (Van mieu)

สร้างใน พ.ศ. 1613 สมัยพระเจ้าหลีแถงห์โตง (Ly Thanh Tong) อุทิศให้แด่ขงจื้อ วิหารนี้อยู่ติดกับกว็อกตื่อยาม (Quoc Tu Giam) เป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม ต่อมาสมัยราชวงศ์ตรันได้เปลี่ยนชื่อเป็นกว็อกช็อกเวียน (Quoc Hoc Vien) บริเวณตรงหัวมุมทางเข้าด้านหน้าจะมีซุ้มสลักด้วยหินข้อความ “ขอให้ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าก่อนที่จะเข้าไปข้างใน”

วิหารวรรณกรรมแบ่งออกเป็น 5 ชั้นด้วยกัน ประตูทางเข้าด้านหน้าทำเป็น 2 ชั้น มีประตูรูปวงโค้ง คล้ายก๋งจีน สลักชื่อวิหารวรรณกรรมอยู่ชั้นบนสุด เมื่อลอดซุ้มประตูด้านหน้าเข้ามา จะพบความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ สองข้างทางมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก 2 บ่อ สังเกตได้ว่ามีการวางแผนผังการก่อสร้างที่ดี คำนึงถึงหลักของฮวงจุ้ยเช่นเดียวกับจีน คงได้รับอิทธิพลนี้มาจากจีน เพราะจีนเคยปกครองเวียดนามมาก่อนค่ะ


อ่าวฮาลอง (Halong Bay)

อ่าวฮาลอง (Halong Bay)

สำหรับการเที่ยวเวียดนาม สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทริปเที่ยวเมืองฮานอย นั่นก็คือการได้มาเที่ยวล่องเรือชมบรรยากาศแห่งอ่าวฮาลอง ซึ่งอ่าวฮาลองแห่งนี้ได้รับการจัดให้เป็นแห่งท่องเที่ยวเที่ยวทางธรรมชาติ และยังได้รับให้จัดเป็นมรดกโลกอีกด้วยค่ะ

สำหรับอ่าวฮาลอง หรือ ฮาลองเบย์ นั้นได้ตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นเสมือนประกาศนียบัตรที่ใครเห็นต่างเชื่อถือ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศเวียดนาม ต้องล่องเรือมาชมอ่าวฮาลองเพื่อสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติแห่งนี้ค่ะ


เกาะกั๊ตบา (Cat Ba Island)

เกาะกั๊ตบา (Cat Ba Island)

เกาะกั๊ตบามีเนื้อที่ทั้งหมดราว 190 ตารางกิโลเมตรค่ะ ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงและเลี้ยงปลาในกระชัง สภาพทั่วไปของเกาะ ด้านในที่เป็นภูเขาจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น เพราะเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมเมื่อปี ค.ศ.1970 มีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนข้างสูงมากเลยค่ะ ทั้งยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกด้วย เพราะมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือที่ทำจากหินจากหินยุคใหม่ภายในถ้ำบนเกาะแห่งนี้ด้วยนะคะ


ถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go)

ถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go)

ถ้ำกลางทะเลสาบที่มีหินงอกหินย้อยงดงามมากเลยค่ะ ได้รับการเปิดตัวจากนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเยือนนี้เป็นกลุ่มแรกในช่วงศตวรรษที่ 19 และได้เรียกถ้ำนี้ว่า ถ้ำสวรรค์ หรือ ถ้ำนางฟ้า เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยตระการตาที่สามารถจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆ ไม่ว่าจะคล้ายคน นก และปีศาจ ยิ่งมีการจัดแต่งไฟหลายหลายสีเข้าไปผสมผสาน ยิ่งทำให้ที่นี่ตระการตายิ่งขึ้นไปอีกค่ะ ภายในมีห้องโถงถ้ำรองรับนักท่องเที่ยวถึง 3 ห้องด้วยค่ะเลยค่ะ


ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem)

ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem)

หรือทะเลสาบคืนดาบ  เป็นทะเลสาบใจกลางกรุงฮานอย  ซึ่งถือเป็นจุดพบปะสังสรรค์ของชาวฮานอยทั้งวัย Teen จนถึงผู้สุงวัย  ที่มาอ้อยอิงใช้ชีวิตตามวิถีสโลว์ไลฟ์ ในทัศนียภาพที่งดงาม และบรรยากาศร่มรื่นย์  นอกจากจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสุดฮิตของชาวเวียดนามแล้ว ยังมีตำนานอันยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 อีกด้วยนะคะ  สำหรับนักท่องเที่ยวนั้นทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของที่เที่ยวอีกหลายแห่ง ทั้งสะพานเทฮุก วัดหง็อกเซิน  และหอคอยโบราณ “ท้าปสั่ว” หรือหอคอยเต่าที่สร้างขึ้นกลางทะเลสาบแห่งนี้


สะพานเทฮุก(The Huc)

สะพานเทฮุก(The Huc)

อีกหนึ่ง Landmark บริเวณทะเลสาบฮว่านเกี๋ยมเลยค่ะ หรืออีกชื่อคือ สะพานพระอาทิตย์ เป็นทางเชื่อมไปยังวัดหง็อกเซิน  ทางตอนเหนือของทะเลสาบ สะพานแห่งนี้ถือเป็นสถานที่เช็คอินสุดฮิต  ด้วยกิมมิคสะพานไม้สีแดงสไตล์จีน ที่ใครมาฮานอยต้องมาถ่ายรูปที่นี่ค่ะ


วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son )

วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son )

หรือ วัดเนินหยก วัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนอันโดดเด่นมากเลยค่ะ  สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม  เป็นจุดชมวิวทะเลสาบที่สวยที่สุด จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาของชาวฮานอยที่มีผู้คนมาสักการะมากที่สุด  ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองฮานอยเลยค่ะ


วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda)

วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda)

วัดเจดีย์เสาเดียวหรืออีกชื่อที่เรียกกันว่า “จั่วโหมดโกด” เป็นสถานที่อันเก่าแก่มากมีอายุราวๆ กว่า 400 ปี ตั้งอยู่ในกรุงฮานอย วัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น มีลักษณะเป็นศาลาไม้ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาทำจากหินต้นเดียวมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.25 เมตร อยู่ในใจกลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม วัดเจดีย์เสาเดียวถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชาแด่เจ้าแม่กวนอิม ตามตำนานที่ได้เล่าขานกันต่อๆ มาว่า พระเจ้าหลีไทโต กษัตริย์ผู้ครองกรุงฮานอย ทรงอยากได้พระราชโอรสและรอคอยมานานมาก จนคืนหนึ่งพระองค์ทรงพระสุบินว่าเจ้าแม่กวนอิมได้มาปรากฎตัวที่สระบัว และทรงประธานพระราชโอรสให้กับพระองค์ หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงได้พระราชโอรสสมพระทัย พระองค์จึงสร้างวัดเจดีย์เสาเดียวขึ้น ทำให้ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้รับความนิยม และได้รับแรงศรัทธาจำนวนมากที่มาขอพรให้ได้บุตรจากเจ้าแม่กวนอิม และด้วยความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจนทำให้วัดเจดีย์เสาเดียวได้รับรางวัลจากกินเนสส์บุ๊คเวียดนาม เมื่อปี 2007 อีกด้วย


วิหารกวานแท่ญ (Quan Thanh Temple)

วิหารกวานแท่ญ (Quan Thanh Temple)

วัดลัทธิเต๋าที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นวิหารบูชาเทพเจ้าเตริ่นหวู่  เทพเจ้าประจำทิศเหนือซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเจ้าประจำทิศทั้งสี่ เพื่อให้เทพเจ้าคอยปกป้องคุ้มครองป้องกันภัยจากสิ่งชั่วร้ายทางทิศเหนือ  จึงเป็นวัดแบบจีนขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 นับเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่เมืองฮานอยมาช้านานค่ะ


วัดจั่วเตริ่นกว๊อก (Chua Tran Quoc)

วัดจั่วเตริ่นกว๊อก (Chua Tran Quoc)

เป็นวัดในพุทธศาสนาสไตล์เวียดนาม ที่อยู่ติดกับทะเลสาบโฮไต (Ho Tay) เป็นวัดที่มีเจดีย์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนามเลยค่ะ บริเวณวัดไม่ใหญ่โตกว้างขวางแต่ร่มรื่น มีเจดีย์สีชมพู ไล่ระดับเป็นชั้นๆขึ้นไปประมาณ 10 ชั้น และมีชายคายื่นออกมาคลุมเจดีย์แต่ละชั้น คล้ายๆกับเจดีย์ของญี่ปุ่น แต่ละชั้นมีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ในช่องรอบเจดีย์ ลักษณะของวิหารของวัดแห่งนี้เป็นแบบจีนโบราณชั้นเดียว


สะพานลองเบียน( Long Bien)

สะพานลองเบียน( Long Bien)

สะพานเหล็กแห่งแรก  ที่เก่าแก่ที่สุดในฮานอย  สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1898 รวมอายุกว่า 120 ปี  โดยแรกเริ่มมีวัตถุประสงค์ให้เป็นทางรถไฟข้ามแม่น้ำแดง  แม่น้ำสายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม แต่ปัจจุบันเปิดให้เฉพาะรถมอเตอร์ไซด์ใช้ร่วมด้วย  และกลายเป็นจุด Check In – ถ่ายรูปสุดแนวสำหรับเหล่านักท่องเที่ยวสายฮิปสเตอร์


ถนน 36 เฝอเฟือง(36 Streets Old Quarter)

ถนน 36 เฝอเฟือง(36 Streets Old Quarter)

หรือถนน 36 สาย  ย่านโบราณซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า  600 ปีเชียวค่ะ ถนนอันมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องสินค้าพื้นเมือง  และงานหัตถกรรมของเวียดนาม ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในย่าน Old Quarter เลยค่ะ อยู่บนถนนถึง 36 สายโดยถนนแต่ละสายก็จะเน้นสินค้าที่แตกต่างกันตามอาชีพดั้งเดิมทั้ง 36 อาชีพ  เช่น เครื่องเงิน ผ้าไหม เป็นต้น


ย่าน French Quarter

ย่าน French Quarter

หลีกหนีความแออัดมาชิลล์เอ้าท์เดินเล่นยามบ่ายในย่านเมืองฝรั่งเศส  ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ในยุคที่เวียดนามถูกปกครองโดยชาวฝรั่งเศส  จึงมีการทำลายตึกรามบ้านช่องเดิมของชาวเวียดนามทิ้ง แล้วสร้างอาคารทรงโคโลเนียล  แบบยุโรปในสไตล์วิลล่าฝรั่งเศสขึ้นแทน รวมไปจนถึงการวางผังเมืองใหม่ ถนนที่กว้างขวางร่มรื่น  ซึ่งถอดแบบมาจากฝรั่งเศสเลยทีเดียว ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่สุดหรู อันเป็นที่ตั้งของโรงแรมห้าดาว  ร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ ๆ สไตล์ฝรั่งเศสย้อนยุค แหล่งช้อปปิ้งของ Brand Named ห้างสรรพสินค้าสุดหรูชื่อดังของฮานอยอย่าง Trang Tien Plaza ไปจนถึง Hanoi Opera House และ National Museum of Vietnamese History


โบสถ์เซนต์โจเซฟ(St Joseph Cathedral)

โบสถ์เซนต์โจเซฟ(St Joseph Cathedral)

โบสถ์สไตล์นีโอโกธิค  แบบโรมันที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19  แทนเจดีย์บ่าวเทียนเดิมที่ถูกทำลายลง ตั้งอยู่ใจกลางกรุงฮานอย  ไม่ไกลจากทะเลสาบคืนดาบ โดยโบสถ์หลังนี้ได้สร้างตามอย่างมหาวิหารน็อทร์-ดาม  ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของฮานอย และเป็น  Landmark ที่สำคัญของฮานอยไปแล้วค่ะ


ตามก๊อก (Tamcoc)

ตามก๊อก (Tamcoc)

หรือฮาลองบก (Halong Bay On Land) สถานที่เที่ยววิถีธรรมชาติสุดปังอีกแห่งของเวียดนาม  ในเมืองนิงห์บิงห์ ห่างจากฮานอยออกไปประมาณ 100 กิโลเมตร แม้ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองฮานอย  แต่รับรองว่าเมื่อได้เห็นความงดงามของวิวโดยรอบแล้วคุ้มค่ากับการเดินทาง ไม่นอยแน่นอน กับเมืองประวัติศาสตร์เก่าแก่ของเวียดนาม  การล่องเรือแจวพื้นบ้าน บนผืนน้ำใสแจ๋ว ชมทัศนียภาพของภูเขาหินปูนสีเขียวชอุ่มที่รายล้อมทั่วอาณาบริเวณ กว้างขวางสุดสายตา ที่สวยงามจนละสายตาไม่ลง  สวยไม่แพ้ฮาลองเบย์เลยทีเดียวค่ะ


เมืองดาลัด (Dalat)

เมืองดาลัด (Dalat)

หากจะเทียบกับเมืองอื่น ๆ ทางตอนใต้ของเวียดนามอย่าง โฮจิมินห์ซิตี้ หรือ นาตรัง นั้น เมืองดาลัด (Dalat) ที่เพิ่งจะถูกสร้างในช่วงปลายยุค 1890 ถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหม่เลยทีเดียวค่ะ โดยครั้งหนึ่งเมืองดาลัดแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นเมืองหลวงของ Federation of Indochina และจวบจนถึงทุกวันนี้ เมืองดาลัดที่มีความงดงามอบอวลด้วยกลิ่นอายแบบตะวันตก ก็ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างมากเลยค่ะ


พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได่ (Bao Dai’s Summer Palace)

พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได่ (Bao Dai’s Summer Palace)

พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได่ เป็นที่ประทับของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม ซึ่งก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ในปี 2469 ตั้งแต่ครั้งมีพระชนม์เพียง 12 พรรษา เป็นที่ทราบกันดีว่าองค์เบ๋าได่นั้นมักจะใช้เวลาส่วนมากแสวงสำราญจากงานปาร์ตี้ในขณะประทับอยู่ที่เมืองดาลัด โดยพระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได่ เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2476 ประกอบด้วยอาคารอิมพีเรียล 3 หลัง โดยส่วนที่เรียกว่า Dinh 3 เป็นจุดที่โด่งดังและมีคนมาเยี่ยมชมมากที่สุด แม้จะผ่านการการบูรณะมาแล้ว แต่ภายในอาคารก็ยังคงมีเครื่องเรือนจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้ในสภาพเดิม โดยส่วนที่เปิดให้ประชาชนเข้ามาเยี่ยมชมได้นั้น ประกอบด้วยบัลลังก์จักรพรรดิ ห้องทรงงาน ห้องบรรทม ห้องอาหาร รวมถึงส่วนที่พักของพระมเหสีด้วย พร้อมกันนั้นผู้มาเยี่ยมเยือนยังจะได้ชมภาพถ่ายและรูปปั้นของราชวงศ์ที่ถูกจัดแสดงไว้อีกด้วย ทั้งนี้ภายในพระราชวังไม่อนุญาตให้บันทึกภาพภายในอาคารนะคะ


เครซี่เฮาส์ (Crazy House) (Hang Nga Guest House and Art Gallery)

เป็นเรื่องยากที่จะหานักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเมืองดาลัดแล้วไม่แวะไปเยือน เครซี่เฮาส์ บ้านตุ๊กตาและแกลลอรี่ศิลปะแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่โด่งดังด้วยคอนเซ็ปต์อันแปลกแหวกแนว ในรูปแบบเหมือนกับบ้านต้นไม้ ผลงานการออกแบบของสถาปนิกDang Viet Nga โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2533 ภายในเครซี่เฮาส์ประกอบไปด้วยห้องขนาดเล็กกว่า 10 ห้อง ที่มีธีมแยกแตกต่างกันออกไป และที่นี่เราจะได้พบกับความประทับใจจากการเยี่ยมชมที่ต้องใช้เส้นทางทั้งอุโมงค์ บันได และยังจะได้พบกับเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นจากคอนกรีต รวมทั้งหากเราโชคดีก็อาจจะได้มีโอกาสพบปะและพูดคุยกับ Dang Viet Nga เจ้าของผลงานการออกแบบ เครซี่เฮาส์ ด้วย


สวนดอกไม้เมืองหนาว (Dalat Flower Gardens)

สวนดอกไม้เมืองหนาว (Dalat Flower Gardens)

ดาลัดได้รับการขนานนามให้เป็นเมืองดอกไม้ เพราะเมืองแห่งนี้เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันของดอกไม้อันงดงามหลากหลายสายพันธุ์ อีกทั้งเมืองดาลัดยังมีงานเทศกาลดอกไม้ประจำปีอันลือชื่อ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งจากในและนอกประเทศ โดยสวนดอกไม้เมืองหนาวซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 2509 นี้ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบซวนเฮืองที่อยู่ใจกลางเมืองดาลัด ที่สวนดอกไม้เมืองหนาว เราจะได้พบกับพรรณไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ต้น และกล้วยไม้ รวมถึงดอกไม้กว่า 300 สายพันธุ์ ที่ผลัดกันเบ่งบานในช่วงเวลาต่างกันไปในรอบปี นั่นทำให้ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะไปเยือนสวนแห่งนี้ในช่วงเวลาใดก็ตาม ก็ยังสามารถพบกับดอกไม้สวย ๆ ที่เบ่งบานรอต้อนรับอยู่เสมอเลยค่ะ และในบางโอกาสเรายังจะหาซื้อดอกไม้สวย ๆ ที่จัดช่อไว้อย่างงดงามได้ที่สวนแห่งนี้อีกด้วยนะคะ


ตลาดดาลัด (Cho Dalat)

ตลาดดาลัด (Cho Dalat)

ที่ตลาดดาลัด เราจะได้พบกับภาพบรรยากาศความเป็นเวียดนามอย่างแท้จริง พร้อมสามารถเดินเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นที่มีวางขายอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไวน์ ดอกไม้ งานหัตถกรรม เครื่องสำอาง รวมถึงของทานเล่นที่ชวนให้ลิ้มลอง และแน่นอนว่าสำหรับนักท่องเที่ยวรายใดที่เตรียมเสื้อผ้ามาไม่พร้อมรับความหนาวเย็นของดาลัด ก็ยังสามารถเข้ามาหาซื้อเสื้อกันหนาวราคาย่อมเยาได้ที่นี่อีกด้วยค่ะ


สถานีรถไฟดาลัด (Dalat Train Station)

สถานีรถไฟดาลัด (Dalat Train Station)

สถานีรถไฟดาลัด ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2486 เป็นสถานีรถไฟขนาดเล็กที่มีความน่าสนใจอยู่ที่รถไฟเครื่องจักรไอน้ำแบบดั้งเดิม ที่ยังต้องใช้ถ่านไม้ในการเผาไหม้ของเครื่องจักร โดยนักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับประสบการณ์นั่งรถไฟเครื่องจักรไอน้ำผ่านพื้นที่ชนบทเป็นระยะทางราว 5 กิโลเมตร เข้าไปสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า Trai Mat โดยรถไฟเครื่องจักรไอน้ำนี้จะเปิดให้บริการเพียง 5 เที่ยวต่อวันเท่านั้น และจำต้องมีผู้โดยสารไม่น้อยกว่า 4-5 คน จึงจะสามารรถเปิดการเดินรถในแต่ละเที่ยวได้


น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfalls)

น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfalls)

น้ำตกดาตันลา (Datanla Waterfall) อยู่ห่างจากตัวเมืองดาลัดไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นน้ำตกไม่ใหญ่มากแต่มีความสวยงามและมีกิจกรรมต่าง ๆ ในนักท่องเที่ยวได้ทำกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่น้ำตกแห่งนี้จะเป็นน้ำตกที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในดาลัด ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาประสบการณ์สุดตื่นเต้น เราขอแนะนำให้ลองไปนั่งรถราง (Roller Coaster) ลงไปชมตัวน้ำตกกันดู หลังจากชมน้ำตกกันจนอิ่มใจแล้ว หากท้องหิวบริเวณลานจอดรถก็มีอาหารไว้คอยบริการอีกด้วย


น้ำตกช้าง (Elephant Falls)

น้ำตกช้าง (Elephant Falls)

ชื่อของ น้ำตกช้าง เป็นชื่อที่ตั้งมาจากภาษาพื้นเมืองของเผ่า K’ho น้ำตกแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่มากนัก เนื่องจากตัวน้ำตกตั้งอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองเมื่อเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งอื่น ๆ และนั่นทำให้ น้ำตกช้าง กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างจะเงียบสงบ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาสถานที่สงบเพื่อผ่อนคลายเป็นอย่างมาก


ทะเลสาบแห่งความโศกเศร้า (Lake of Sighs)

ทะเลสาบแห่งความโศกเศร้า (Lake of Sighs)

ทะเลสาบแห่งความโศกเศร้า เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งของเวียดนามค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคู่รักหนุ่มสาวที่นิยมมาพายเรือ หรือแล่นเรือยนต์ชมวิวด้วยกัน โดยทะเลสาบแห่งนี้เดิมเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติ ก่อนถูกกลุ่มชาวฝรั่งเศสใช้เป็นเขื่อนกักเก็บน้ำ


วัดลัมทรีนี (Lam Ty Ni Pagoda)

วัดลัมทรีนี (Lam Ty Ni Pagoda)

เป็นวัดพุทธในนิกายเซน ที่ภายในบริเวณวัดนอกจากจะมีสิ่งก่อสร้างและการจัดทัศนียภาพที่งดงามแล้ว ยังมีพื้นที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะอีกด้วย ในวัดแห่งนี้เราจะได้เข้าไปสักการบูชาเจ้าแม่กวนอิม ขณะที่พระในวัดนั้นก็สามารถสนทนาได้หลากหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อังกฤษ สวีเดน จีน ไทย และเวียดนาม ทุกสิ่งเหล่านี้ทำให้วัดลัมทรีนีกลายมาเป็นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด


หมู่บ้านเผ่าลัท (Aka Chicken Village)

ทะเลสาบแห่งความโศกเศร้า (Lake of Sighs)

หมู่บ้านเผ่าลัท มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า หมู่บ้านไก่ เพราะเมื่อเรามาถึงที่แห่งนี้เราก็จะได้พบกับอนุสาวรีย์รูปไก่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าหมู่บ้าน โดยนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้เข้ามาร่วมชมวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวเวียดนามในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม สินค้าจากผ้าคอตตอน และไวน์ข้าว เป็นต้น


เจดีย์มังกร (Linh Phuoc Pagoda) 

วัดลัมทรีนี (Lam Ty Ni Pagoda)

เจดีย์มังกร เป็นวัดพุทธนิกายเซนที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม ภายในประกอบไปด้วยหอระฆังที่สูงที่สุดในเวียดนามที่มีความสูงถึง 37 เมตร และผนังด้านบนภายในวิหารยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสีสันสดใส บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน นอกจากนี้ ผู้ที่มาเยือนยังสามารถผ่อนคลายอารมณ์ได้จากการชมทะเลสาบเล็ก ๆ และสวนดอกไม้ได้อีกด้วย


 เจดีย์ลินห์ ซอน (Linh Son Pagoda)

เจดีย์มังกร (Linh Phuoc Pagoda) 

หากเราต้องการเยี่ยมชมเจดีย์ที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป เจดีย์ลินห์ ซอน ก็เป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะ ณ เจดีย์แห่งนี้เราจะสามารถชมทิวทัศน์อันงดงามของดาลัดได้จากบนเนินเขา รวมทั้งยังสามารถเยี่ยมชมไร่ชาและกาแฟของทางวัดได้อีกด้วย และแน่นอนว่าหากเราเดินทางไปยังเจดีย์ลินห์ ซอน ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวชาและกาแฟ เราอาจได้เห็นพระสงฆ์ลงไปทำงานอยู่ในไร่อีกด้วย


น้ำตกฟงกัว (Pongour Falls)

น้ำตกฟงกัว (Pongour Falls)

น้ำตกฟงกัว ได้รับการขนานนามให้เป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในดาลัด มีความสูง 20 เมตร และกว้าง 100 เมตร เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนาม นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนยังสามารถพบภาพของสายน้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาอย่างมหาศาลในช่วงฤดูฝน นับเป็นความงดงามทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ชวนให้ประทับใจจริง ๆ


น้ำตกเพรนน์ (Prenn Falls)

น้ำตกเพรนน์ (Prenn Falls)

น้ำตกเพรนน์ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในดาลัด มีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลวันหยุดและช่วงปิดเทอม น้ำตกเพรนน์อยู่ห่างจากใจกลางดาลัดราว 10 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่จะเดินทางขึ้นมาชมความสวยงามด้านบนน้ำตก สามารถใช้บริการเคเบิลคาร์ได้ อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวส่วนมากจะนิยมการเดินเท้าขึ้นมาตามเส้นทางข้างน้ำตก เพราะให้ความรู้สึกสนุกกับการปีนเขาและชมวิวมากกว่า นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวบางส่วนยังสามารถแวะไปวัด Au Lac Temple ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงได้อีกด้วย


วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda)

วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda)

วัดตั๊กลัม เป็นวัดพุทธในนิกายเซน แบบญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนเทือกเขาเฟืองฮว่าง ภายในบริเวณวัดนอกจากจะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีการจัดทัศนียภาพโดยรอบด้วยสวนดอกไม้ที่ผลิดอกบานสะพรั่ง นับได้ว่าเป็นวิหารซึ่งเป็นที่นิยมและงดงามที่สุดในดาลัด โดยเราสามารถใช้บริการเคเบิลคาร์ขึ้นไปชมภาพบรรยากาศจากบนที่สูงได้อีกด้วยค่ะ


วัดเถียนหวง (Thien Vuong Pagoda)

วัดเถียนหวง (Thien Vuong Pagoda)

วัดแห่งนี้เป็นวัดจีนในดาลัด ถูกสร้างขึ้นโดยชุมชนชาวจีนในพื้นที่ โดยวัดแห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่พระพุทธรูปซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 นอกจากนี้ จากทำเลที่ตั้งบนยอดเขาสูงยังทำให้วัดมีอากาศบริสุทธิ์สดชื่น ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวที่มาสักการบูชาพระพุทธรูปแล้ว ยังสามารถออกมาชมวิวของเมืองดาลัดได้จากที่สูงอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านอีกบางส่วนที่นิยมมาปิกนิกที่วัดแห่งนี้ด้วย


หุบเขาแห่งความรัก (Valley of Love)

หุบเขาแห่งความรัก (Valley of Love)

หุบเขาแห่งความรัก เดิมเป็นผืนป่าที่จักรพรรดิเบ๋าได่เคยเข้ามาล่าสัตว์ มีลักษณะเป็นหุบเขาซึ่งมีทะเลสาบอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ปกคลุมด้วยไม้สน แต่ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับชาวเวียดนามที่พากันมาปิกนิก ชมทะเลสาบและสวนสวย ๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หนุ่มสาวชาวเวียดนามชื่นชอบสถานที่แห่งนี้นอกเหนือไปจากสวนสนุกของเด็กแล้ว ยังเป็นเพราะมีกลุ่มคาวบอยมาคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวให้สามารถเช่าชุดคาวบอย ขี่ม้า และถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ทั้งยังมีสถานที่สำหรับให้เลือกซื้อของที่ระลึกอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจอย่างเต็มรูปแบบจริง ๆ


ทะเลสาบซวนเฮือง (Xuan Huong Lake)

ทะเลสาบซวนเฮือง (Xuan Huong Lake)

ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่ไม่ว่าใครก็ตามที่มาก็ต้องเข้ามาเยี่ยมชมทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยสวนสวย ๆ และพรรณไม้นานาชนิด ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งในการพักผ่อนสูดกลิ่นอายธรรมชาติและชมวิถีชีวิตของชาวดาลัดที่มีความน่ารัก หากเรามานั่งพักอยู่ในพื้นที่ทะเลสาบซวนเฮือง เราจะได้เห็นภาพของชาวบ้านที่นิยมมาปิกนิก ขี่จักรยาน และวิ่งจ๊อกกิ้งกัน และหากว่าเรารู้สึกหิว ก็ยังมีร้านอาหารมากมายที่มารอให้บริการอยู่รอบ ๆ สถานที่แห่งนี้อีกด้วย


เมืองฮอยอัน (Hoi An)

เมืองฮอยอัน (Hoi An)

ฮอยอัน หรืออ่านตามสำเนียงเวียดนามว่า โฮยอาน เมืองเล็กๆ อยู่ทางตอนกลางของประเทศ มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนในโลก ทำให้เมื่อปี 2542 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่า เป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์

สำหรับการมาเที่ยวชมเมืองฮอยอัน สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ การซื้อบัตรเข้าชมเมืองเก่าบริเวณหัวถนนตรันฝู ภายในบัตรนั้นคุณสมารถเข้าชมได้ 5 สถานที่ภายใน 1 วัน จะเลือกเดินเท้าเข้าชมเมือง เช่าจักรยาน หรือใช้บริการของสามล้อถีบก็ได้เช่นกัน เนื่องจากฮอยอันเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนสายหลักเพียงไม่กี่เส้น ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็เที่ยวครบแล้ว


สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)

สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)

สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฮอยอันที่คุณต้องมาชมคือ สะพานญี่ปุ่น ได้รับการก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว รูปทรงโค้งของสะพานและหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นคลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเดและตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพานด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว นับเป็นสิ่งที่ช่างสมัยก่อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการก่อสร้าง สะพานแห่งนี้ เมื่อข้ามสะพานมายังอีกฟากหนึ่งของเมือง คุณจะพบเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์ตแกลอรี่ ริมถนนคนเดินสองฟากฝั่งถนนให้คุณได้เลือกซื้อเลือกชมมากมายเลยค่ะ


สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)

สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)

ถนนสายตรันฝู นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ.2388-2428 จะเห็นได้จากบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลกว่า 20 หลัง ตลอดจนจั่วฟุกเกี๋ยนที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2335 ซึ่งถือเป็นสามคมชาวจีนที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน ใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพมาจากฟุกเกี๋ยนที่มีแซ่เดียวกัน และยังใช้เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิดและบูชาบรรพบุรุษของตน

และภายในยังเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้น เพื่ออุทิศให้กับลัทธิของพระนางเทียนเห่า มีจุดเด่นอยู่ที่งานไม้แกะสลัก ลวดลายสวยงามน่าชมและหากคุณไม่เร่งรีบไปไหน สองฟากฝั่งของถนนตรันฝูยังเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าทำมือให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก ทั้งงานแกะสลักไม้ โคมไฟจากผ้าไหมหลากสี ภาพวาดที่สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวฮอยอัน ตลอดจนร้านอาหารหลากสัญชาติ หลายบรรยากาศ


บ้านเลขที่ 101 (Old House No.101)

บ้านเลขที่ 101 (Old House No.101)

เสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันก็คือ การได้เข้าไปเยี่ยมชมบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ที่ยังคงงดงาม มีให้เลือกชมอยู่หลายหลัง แต่คุณสามารถเลือกเข้าชมได้เพียงหนึ่งหลัง จากบัตรเข้าชม นอกเหนือจากนี้คุณจะต้องจ่ายค่าเข้าชมในบ้านแต่ละหลังเอง เริ่มตั้งแต่ถนนตรันฝู ที่ตั้งของบ้านเลขที่ 77 ซึ่งเป็นบ้านของลูกหลานชาวจีนเก่าแก่อายุเกือบ 80 ปี ซึ่งอยู่อาศัยมาถึง 6 รุ่นแล้ว ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม ถัดมาที่ถนนเหวียนไทฮ็อก ที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของสถาปัตยกรรมแบบฮอยอัน

บนถนนสายนี้มีบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ให้เลือกเข้าชมทั้งหมด 3 หลังด้วยกันค่ะ เริ่มจาก บ้านเลขที่ 22 บ้านเก่า 2 ชั้น ของชาวจีนที่เข้ามาติดต่อเพื่อซื้อขายอบเชย สร้างมาเกือบ 90 ปีแล้ว ภายในแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ บ้านไม้และบ้านปูนเก่าสร้างอย่างประณีต เป็นครอบครัวใหญ่ที่เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ และที่คุณพลาดไม่ได้คือ บ้านเลขที่101 เป็นบ้านของจีนในตระกูล Tan Ky นับเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 5 ชั่วอายุคน ภายในแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ตั้งแต่ ห้องสมุดสมัยก่อน ห้องรับแขก และห้องครัว และบ้านเลขที่ 77 ค่ะ


หุบเขาหมีเซิน มรดกโลก(My Son Sanctuary)

หุบเขาหมีเซิน มรดกโลก(My Son Sanctuary)

หมีเซินเคยเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของอาณาจักรจามปามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 จนถึง ศตวรรษที่ 15 ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900 ปี ทำให้โบราณสถานแห่งนี้เป็นที่รวบรวมลักษณะทางด้านศิลปกรรมที่หลากหลาย จัดเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน

ปราสาทหมีเซินสร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู อยู่ในจังหวัดกว๋างนาม ภาคกลางของประเทศเวียดนาม  ตั้งอยู่บริเวณที่ราบต่ำ มีภูเขาโอบล้อม เนื้อที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลัง นอกจากตัวปราสาทแล้วยังมีรูปปั้น วัด และถูกห้อมล้อมไปด้วย  ป่าดงดิบ แต่ในช่วงสงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ใช้ปราสาทหมีเซินเป็นกองบัญชาการ ฝ่ายอเมริกันจึงได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดบริเวณนี้ โบราณสถานจำนวนมากจึงถูกทำลายไป ทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพียง 22 หลังเท่านั้นค่ะ ปราสาทหมีเซินได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2542 ค่ะ


เจดีย์ซาลอย (Xa Loi Pagoda)

เจดีย์ซาลอย (Xa Loi Pagoda)

เจดีย์เจ็ดชั้นที่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธในเวียดนามใต้ ในปี พ.ศ. 2506 มีเหตุการณ์ที่พระสงฆ์และแม่ชีรวมตัวกันประท้วงรัฐบาลเกิดขึ้นที่นี่


หาดเกาได๋ หรือ หาดจีน (Cao Dai Beach)

หาดเกาได๋ หรือ หาดจีน (Cao Dai Beach)

นอกจากบ้านเรือนสวยสไตล์โคโลเนียลที่มีให้เยี่ยมชมย่านเก่าใจกลางเมืองฮอยอันแล้ว ถัดมาไม่ไกลจากตัวเมืองฝั่งตรงขามกับแม่น้ำทูโบน คุณจะได้พบกับชายหาดสวยชื่อ เกาได๋ ที่ทอดยาวต่อเนื่องมาจากเมืองดานัง หรือที่ชาวฮอยอันเรียกว่า หาดจีน เป็นชายหาดที่มีเนื้อทรายละเอียด น้ำทะเลใสสะอาด บรรยากาศเงียบสงบ มีกิจกรรมทางน้ำมากมายให้เลือกสรร เหมาะทั้งลงเล่นน้ำและชมวิวทิวทัศน์ บริเวณฝั่งตรงข้ามชายหาดเต็มไปด้วยโรงแรมระดับดีให้คุณได้เลือกพักชมวิวทะเล ตลอดจนร้านอาหารให้เลือกลิ้มรส นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่หลังจากเที่ยวชมเมืองเก่าฮอยอันจนครบแล้ว ก็มักเปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนหย่อนใจที่หาดทรายสวยแห่งนี้ค่ะ


ศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรม(Handicraft workshop and traditional music shop)

ศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรม(Handicraft workshop and traditional music shop)

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดภายในศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรมแห่งนี้คือ โรงละครหลังเล็ก ที่จัดการแสดงพื้นเมืองที่หาดูได้ยากของชาวเวียดนาม ตั้งแต่การจับปลา การเกี่ยวข้าว ท่ามกลางศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนาม สำหรับนัก่องเที่ยวี่ไม่อยาดพลาดการแสดงที่น่าประทับใจเช่นนี้ แนะนำให้มาในวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00 น. หรือ เวลา 15.00 น. เพราะจะมีการแสดงเพียง 2 รอบต่อ 1 วันเท่านั้นค่ะ

นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมงานฝีมือของเมืองฮอยอัน ตั้งแต่งานแกะสลักไม้ งานแกะสลักหินอ่อน ที่ยินดีให้คุณได้ชมในทุกขั้นตอนของการผลิต และสมารถเลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกได้ในราคาย่อมเยาอีกด้วยค่ะ


พิพิธภัณฑ์เซรามิก(Museu of Trading Ceramics)

พิพิธภัณฑ์เซรามิก(Museu of Trading Ceramics)

ตั้งอยู่บนถนนสายตรันฝู ตรงบ้านเลขที่ 80 ภายในบ้าน 2 ชั้นหลังนี้ สร้างจากไม้เนื้อแข็งที่มีอายุเก่าแก่กว่า 80 ปี โดยบรรพบุรุษดั้งเดิมเป็นชาวจีนฟุกเกี๋ยนที่เข้ามาติดต่อซื้อขายยาสมุนไพร และไม่ได้กลับไปยังถิ่นฐานเดิม ปัจจุบันจึงดัดแปลงบ้านไม้เก่าแก่หลังนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เซรามิกที่จัดแสดงโบราณวัตถุเอาไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ตั้งแต่ ถ้วย ขาม เครื่องใช้ไม้สอยสมัยโบราณ รวมทั้งชามสังคโลกของไทย สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาของเมืองมรดกโลกริมแม่น้ำทูโบนที่เต็มเปี่ยวด้วยเสน่ห์แห่งนี้ นอกจากจะได้ชมถ้วยชามเซรามิกเก่าแก่แล้ว จากบริเวณระเบียงบ้านชั้น 2 คุณยังสามารถมองลงมายังถนนหน้าบ้าน เพื่อชมเมืองฮอยอันในมุมสูงได้อีกด้วยค่ะ


แม่น้ำทูโบน (Thu Bon River)

แม่น้ำทูโบน (Thu Bon River)

หากมาเยือนเมืองฮอยอันแล้วไม่ได้มาเยี่ยมชมแม่น้ำทูโบนแล้วก็เหมือนมาไม่ถึง เพราะแม่น้ำสายนี้มีความสำคัญตั้งแต่สมัยครั้งโบราณ ก่อนที่ฮอยกันยังเป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชาวต่างชาติจำนวนมากล่องเรือเข้ามาททำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่เมืองแห่งนี้ ทำให้ฮอยอันเป็นเสมือนศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกกับตะวันตก แต่ภายหลังที่แม่น้ำเริ่มตื้นเขิน เรือเดินสินค้าไม่สามารถมาจอดเทียบท่าได้ เมืองดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ฮอยอัน แต่อย่างไรก็ดี สายน้ำทูโบนแห่งนี้กลับมิได้สูญหายไปพร้อมกาลเวลา แต่ยังคงทำหน้าที่หลักไหลหล่อเลี้ยงชาวฮอยอันอยู่เรื่อยมา


ตลาดบัคฮา (Bac Ha Market)

ตลาดบัคฮา (Bac Ha Market)

ตั้งอยู่ในจังหวัดบัคฮา ห่างจากซาปา 110 กิโลเมตร ตลาดบัคฮาเป็นตลาดที่ขึ้นชื่อของเวียดนามเหนือเป็นศูนย์รวมสีสันแห่งชนเผ่าในภูมิภาคนี้ จังหวัดบัคฮา เป็นจังหวัดเล็กๆ อยู่ใกล้กับชายแดนประเทศจีน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าต่างๆ อยู่รวมกัน และยังเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศเวียดนาม ในวันอาทิตย์ ตลาดบัคฮา จะเป็นวันที่มีสีสันที่สุดในรอบสัปดาห์ เพราะชาวเขาเผ่าต่างๆ จะเดินทางลงมาเพื่อเลือกซื้อข้าวของไปใช้ สินค้าส่วนใหญ่ที่ขึ้นชื่อในตลาดจะเป็นผ้าทอมือที่มีลวดลายสีสันและเป็นเอกลักษณ์


ซาปา (Sapa)

ซาปา (Sapa)

ซาปาเป็นเมืองเอกทางการท่องเที่ยวแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในจังหวัดลาวไค มียอดเขา ฟานสีปัน เป็นยอดเขาที่สูงถึง 3.143 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเวียดนาม ฟานสีปันอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติฮว่างเลียนเซิน จึงเป็นที่เหมาะสำหรับดูนกและพันธุ์ไม้ดอก ฟานสีปันตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาเพียง 15 กิโลเมตร สูงสุดจนได้รับฉายาหลังคาแห่งอินโดจีน

ซาปาตั้งอยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,650 เมตร เมืองซาปาเริ่มต้นจากการเป็นเมืองแห่งการพักผ่อนเมื่อฝรั่งเศสซึ่งปกครองเวียดนามอยู่ในขณะนั้นได้มาสร้างภูเขาขึ้นในปีพ.ศ. 2465 จากนั้น จึงเริ่มมีชาวต่างชาติซึ่งอยู่ในฮานอย มาพักผ่อนช่วงวันหยุดเป็นประจำ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ


ตลาดเช้าซาปา (Sapa Market)

ตลาดเช้าซาปา (Sapa Market)

ภายในตัวเมืองซาปานั้นสามารถเดินเที่ยวชมได้โดยสะดวก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลกัน โดยเริ่มที่ ตลาดเช้าซาปา ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งมีบรรยากาศคึกคักแต่เช้าตรู่ เพราะมีชาวเขาในหมู่บ้านห่างไกลเดินทางออกมาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดเช้าซาปา โดยจะแยกเป็นตลาดขายของสด และเสื้อผ้า สินค้าหัตถกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือของชาเขา


ภูเขาฮามรอง จุดชมวิวเมืองซาปา ( Ham Rong Mountain)

ยอดเขาฟานสีปัน (Fansipan)

หรือภูเขามังกร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเอกชนที่มีชื่อเสียงมากมายในตัวเมืองซาปา มีจุดชมวิวสำหรับชมเมืองซาปาได้รอบด้าน และมองเห็นเทือกเขาที่รายล้อมซาปาซึ่งเป็นเขาที่ทอดยาวมาจากมณฑลยูนนานในประเทศจีน และยังสามารถมองเห็นยอดเขาฟานซีปัน (Fansipan) ของเทือกเขาหว่างเหลี่ยนเซิน ภายในเส้นทางบนภูเขาฮามรองยังมีการจัดเส้นทางเดินไว้อย่างดีและมีจุดให้เที่ยวชมทั้งหมด 11 จุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของสวนไม้ดอกและไม้ผลหลากสีสัน


ยอดเขาฟานสีปัน (Fansipan)

ภูเขาฮามรอง จุดชมวิวเมืองซาปา ( Ham Rong Mountain)

เป็นยอดเขาที่มีความสูงที่สุดในอินโดจีน จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น หลังคาแห่งอินโดจีน ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 3,143 เมตร ของเทือกเขาหว่างเหลี่ยนเซินที่ทอดตัวยาวมาจากประเทศจีน ยอดเขารูปทรงปิรามิดลูกนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกและอุณหภูมิลดต่ำกว่าศูนย์ องศาเซสเซียสเกือบตลอดทั้งปี ภูเขาลูกนี้เป็นความใฝ่ฝันและความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของนักท่องเที่ยวผจญภัย หลายต่อหลายคนทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของนักไต่เขาหลายคนเดินทางมาที่นี่ เพื่อพิชิตยอดเขา ฟาน ซี ปัน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินเท้านานประมาณสามวันกับการขึ้นไปสัมผัสเมฆหมอกบนจุดสูงสุดของภูเขา


หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต (Cat Cat Village)

หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต (Cat Cat Village)

หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองซาปาเพียง 3 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวเขาเผ่าม้งซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน เมื่อกว่า 300 ปีก่อน เครื่องแต่งกายของชาวเขาจะนิยมใช้สีน้ำเงินเข้ม หรือสีดำซึ่งสวมใส่กันเป็นประจำทุกวัน นอกจากจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้งในหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตแล้ว ไฮไลท์ของที่นี่คือทัศนียภาพที่มีนาขั้นบันไดที่สวยงาม


หมู่บ้านต่าฟาน (Ta Van Village)

หมู่บ้านต่าฟาน (Ta Van Village)

ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของซาปาประมาณ 10 กิโลเมตร หมู่บ้านต่าฟาน เป็นชุมชนของชาวเขาหลายเผ่ามาอยู่รวมกัน แต่เผ่า Giay ถือเป็นชนเผ่าที่มีประชากรส่วนใหญ่ในเวียดนาม และยังมีกลุ่มคนไต หรือ ไท ผสมผสานอยู่รวมกัน ซึ่งในความหลากหลายของชนพื้นเมืองนี้เอง ทำให้สามารถมองเห็นความแตกต่างของเครื่องแต่งกายซึ่งแต่ละเผ่าก็จะแต่งตัวหลากสีสันแตกต่างกันออกไป การเข้าชมหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากจะได้ชมวิถีชีวิตของชาวเขา สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการชิมเหล้าพื้นเมืองที่ชาวเขาผลิตกันเอง สามารถเลือกซื้อติดมือนำมาเป็นของฝากได้


น้ำตกซิลเวอร์  (Silver Waterfall)

น้ำตกซิลเวอร์  (Silver Waterfall)

ตั้งอยู่ริมถนนทางไปไลโจว อยู่ห่างจากซาปาประมาณ 8 กิโลเมตร น้ำตกซิลเวอร์หรือที่ชาวซาปาเรียกว่า Thac Bac เป็นน้ำตกที่มีความงดงามทางธรรมชาติที่สามารถไปเที่ยวชมได้ไม่ยาก เพราะน้ำตกตั้งอยู่ริมถนนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล เพราะน้ำตกมีความสูงกว่า 100 เมตร


ตรามตอนพาส (Tram Ton Pass)

ตรามตอนพาส (Tram Ton Pass)

ตั้งอยู่ริมถนนไปไลโจว ห่างจากซาปา 15 กิโลเมตร เส้นทางเดียวกับไปเที่ยวน้ำตกซิลเวอร์ ตรานตอมพาสเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของซาปา และยังเป็นจุดสูงสุดในเวียดนามที่มีถนนตัดผ่านบนความสูง 1,900 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยเป็นเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดลาวไค กับจังหวัดไลโจว จุดนี้มีการกล่าวว่าเป็นบริเวณที่มีอากาศสองแบบในเวลาเดียวกัน เพราะซาปาเป็นเมืองที่หนาวที่สุดในเวียดนาม แต่ไลโจว กลับเป็นเมืองที่ร้อนที่สุด ในวันที่อากาศดีสามารถมองเห็นทิวทัศน์ขอเทือกเขาฟานสีปันได้อย่างชัดเจนและสวยงาม


หาดญาจาง (Nha Trang Bay)

หาดญาจาง (Nha Trang Bay)

เมืองท่องเที่ยวทางทะเล อยู่ในจังหวัดคั้ญฮหว่า ประเทศเวียดนาม มีชายหาด และทะเลที่เหมาะแก่การดำน้ำ มีชายหาดที่ทอดตัวยางกว่า 6 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นเมืองสวรรค์ของผู้ชื่นชอบกีฬาทางน้ำเลยทีเดียว


เกาะฟูโกว๊ก (Phu Quoc Island)

เกาะฟูโกว๊ก (Phu Quoc Island)

เกาะสวรรค์ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีเกาะขนาดแตกต่างกันออกไปถึง 28 เกาะ ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตตามแบบดั้งเดิม ชายหาดขึ้นชื่อของที่นี่คือSao Beach มีหาดทรายยาว 7 กิโลเมตร ที่ขาวสะอาดมาก นุ่มเนียนละเอียด ที่สำคัญยังไปได้ง่ายๆ เพราะมีสายการบินบินตรงจากประเทศไทยเลย ตั้งอยู่ในทะเลฝั่งอ่าวไทยด้วย


 ทะเลทรายมุยเน่ (Muine)

 ทะเลทรายมุยเน่ (Muine)

ใครไม่อยากเดินทางไปเที่ยวทะเลทรายไกลถึงซาฮาร่า ไปชิลล์ๆ กลางทะเลทรายมุยเน่ก็ได้เหมือนกัน ทะเลทรายมุยเน่ หรือ ทะเลทราย 2 สี คือมีทั้งสีแดงและสีขาวเลยค่ะ โดยทะเลทรายขาวจะอยู่ทางทิศใต้ของทะเลทรายแดง มีบึงน้ำจืดหรือโอเอซิสอยู่ใกล้ๆ อีกความน่าสนใจคือสีของทะเลทรายจะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่แสงแดดสะท้อน ทำให้ทะเลทรายมุยเน่ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่ใครมาเวียดนามแล้วไม่ควรพลาดไปเยือนเลยค่ะ


ถ้ำซันดอง (Son Doong Cave)

ถ้ำซันดอง (Son Doong Cave)

ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Phong Nha-Ke Bang ถ้ำโบราณอายุประมาณ 2-5 ล้านปี ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ภายในหุบเขา มีความกว้าง 200 เมตร สูง 150 เมตร และมีความยาวถึง 9 กิโลเมตร เรียกได้ว่ายกเมืองทั้งเมืองมาไว้ในนี้ยังได้ ถ้ำซันดองได้รับการบรรจุให้เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยสมาคม BCRA (British Cave Research Association) ภายในอุทยานแห่งชาตินี้ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่นักสำรวจยังไปไม่ถึง อีกทั้งการสำรวจยังทำได้เฉพาะช่วงหน้าแล้งเท่านั้น


ถ้ำฟองญา (Phong Nha Caves)

ถ้ำฟองญา (Phong Nha Caves)

ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติฟองญา ซึ่งอุดมไปด้วยภูเขาหินปูนที่มีอายุประมาณ 400 ล้านกว่าปี ฟองญาเป็นถ้ำที่ได้รับการยกย่องว่ามีความเป็นที่สุด 7 อย่าง ได้แก่ ถ้ำในน้ำยาวที่สุด มีปากถ้ำกว้างและสูงที่สุด มีเนินทรายและหินใต้น้ำสวยที่สุด มีทะเลสาบน้ำจืดในถ้ำสวยที่สุด มีหินงอกหินย้อยรูปทรงต่าง ๆ สวยงามที่สุด มีลำน้ำลอดภูเขายาวที่สุด (13,969 เมตร) และถ้ำที่มีทั้งแห้ง ทั้งกว้างและสวยที่สุด เยอะขนาดนี้จะไม่ไปเที่ยวสักหน่อยเหรอ?

Kongrath
Kongrath

The inspiration about writing comes from hour and hour of constant work because I want to make contribution to the world.

Top Best Brand สุดยอดแบรนด์ที่ดีที่สุด
Logo